วันที่ 14 ก.ค.66 ที่พรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลเตรียมยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. อีกครั้ง ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวนั้น ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้ยื่นการแก้ไขในมาตรานี้มา 2 ครั้งแล้ว และไม่ผ่านการพิจารณาของสภา ดังนั้นการที่พรรคก้าวไกลได้เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา เข้าใจว่าเป็นการทลายกำแพง โดยเฉพาะประเด็นการโหวตนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ เพราะ ส.ว. ได้ตั้งกำแพงเรื่องมาตรา 112 เอาไว้ ทางก้าวไกลจึงอยากจะหยิบยกประเด็นนี้ เพื่อที่จะให้การโหวตเลือกนายกฯเป็นเรื่องเฉพาะของสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนการหารือกับพรรคก้าวไกลวันนี้ ทั้งสองพรรคได้นัดหมายในเวลา 17.00 น.โดยจะพูดคุยถึงแนวทางเกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ซึ่งเมื่อสักครู่ได้สอบถามไปยังประธานสภา ว่า จะเป็นวันที่ 19 ก.ค.นี้ หรือไม่ ทางพรรคเพื่อไทยจะพูดคุยกันภายในก่อน เพื่อนำข้อเสนอของพรรคไปหารือกับก้าวไกลอีกครั้ง

เมื่อถามว่าในสมัยประชุมนี้จะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ได้เลยหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ถ้าทำได้เป็นเรื่องดี แต่ข้อเท็จจริงการแก้ไขมาตรา 272 ต้องใช้เสียงของรัฐสภาเกินกว่าครึ่งหนึ่ง และต้องมีเสียงจาก ส.ว. 84 เสียงด้วย โดยที่ผ่านมาเพื่อไทยดำเนินการมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่าย และไม่เคยได้เสียงของ ส.ว. ครั้งนี้ยังก็เชื่อว่า ส.ว. จะตั้งกำแพงสูงในเรื่องนี้ เพราะการแก้ไขจะไม่ง่ายตามที่คิดเอาไว้

นายประเสริฐ กล่าวว่า เชื่อว่า 13 เสียง ส.ว. ที่โหวตให้นายพิธาครั้งแรก จะโหวตให้ในครั้งที่สอง เพราะคงจะมีเจตนา คงมีความตั้งใจ และมองการเมืองอีกมุม ส่วนพรรคเพื่อไทย จะต้องไปออกแรงเพิ่ม เพื่อให้ได้เสียงส.ว. เพิ่มเติมหรือไม่นั้น ส่วนตัวคิดว่า พรรคก้าวไกลพยามทำเต็มที่แล้ว ขอคุยกับทางพรรคก้าวไกลก่อนว่าวันนี้จะมีแนวทางเป็นอย่างไร   ส่วนจะไปแนะนำให้ได้เสียงเพิ่มหรือไม่ มองว่าจริงๆแล้ว ถ้าการโหวตเป็นไปอย่างวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา หากไม่มีข้อมูลใหม่ หรือไม่มีอะไรเพิ่มเติมการโหวตในวันที่ 19 ก.ค.นี้ คงจะใกล้เคียงกับการโหวตวันที่ 13

เมื่อถามว่าการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาเมื่อวานนี้ พุ่งเป้าไปที่ประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 จะมีการปรับภาพลักษณ์ ให้ได้เสียงโหวตมากขึ้นหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่ขอแสดงความเห็นเรื่องนี้  เพราะพูดแทนพรรคก้าวไกลไม่ได้ และทางพรรคก้าวไกลก็ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ดังนั้นเป็นเรื่องที่ก้าวไกลต้องคิดเอง ตอบแทนไม่ได้ ซึ่งวันนี้การพูดคุยกับพรรคก้าวไกลจะคุยในหลายประเด็น และคิดว่าพรรคก้าวไกลรู้โจทย์แล้ว โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112

เมื่อถามว่าหากมีการเสนอชื่อพล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาแข่งด้วยนายประเสริฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะต้องนำมาประเมินร่วมกัน ซึ่งขณะนี้ทราบว่า มีความเคลื่อนไหวในการรวบรวมเสียงอยู่ จึงประมาทไม่ได้  เพราะเกิดขึ้นได้ รวมถึงขอรอผลสรุปการหารือในเย็นนี้ ว่าจะเสนอชื่อนายพิธา ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในรอบที่ 2 เพื่อเป็นทางรอดให้ 8 พรรคร่วมหรือไม่ ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะแสดงความเห็น

นายประเสริฐ ยังกล่าวว่า การเสนอชื่อนายพิธา ซ้ำจะไป ขัดกับข้อบังคับการประชุมหรือไม่นั้น หากดูข้อบังคับดีๆจะมีข้อที่ระบุว่า เป็นอำนาจของประธานรัฐสภาในการวินิจฉัย หากการเสนอญัตตินั้นมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป ตนเองเชื่อว่า อำนาจประธานชี้ได้ไม่น่าเป็นอุปสรรค  ขอให้เป็นดุลยพินิจของประธานรัฐสภา

ส่วนกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความในลักษณะที่ว่า พรรคก้าวไกล ควรไปเป็นฝ่ายค้าน มีนัยยะอะไรหรือไม่ ว่า ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่แสดงความคิดเห็น และส่งผลต่อพรรคก้าวไกล ดังนั้น คำพูดของนายปิยบุตร ก็ควรที่จะรับฟัง แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในพรรคก้าวไกล ถ้าจะให้แน่นอนต้องฟังความคิดเห็นของ หัวหน้า เลขาฯ และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล 

เมื่อถามย้ำว่าหากพรรคก้าวไกลยอมถอยไปเป็นฝ่ายค้าน นายประเสริฐ กล่าวว่า ความจริงแล้วไม่มีแผน 2 แต่ทุกความเห็นที่เกิดขึ้นตอนนี้ ต้องนำไปหารือกับพรรคก้าวไกล และต้องแจ้งกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย

ส่วนที่ ส.ว.ติดใจเรื่องมาตรา 112 ซึ่งไม่มีใน MOU พรรคก้าวไกล จะไปดำเนินการเองเรื่องนี้กังวลหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า MOU มี 2 ฉบับ แบบ 2 พรรค กับ 8 พรรค โดยแบบ 8 พรรค เท่าที่จำได้ คือ หากเป็นเรื่องที่นอกเหนือจาก MOU ให้ถือว่า เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกลที่จะไปเสนอเอง ไม่เกี่ยวกับ 8 พรรค เป็นเรื่องเฉพาะที่พรรคก้าวไกลจะไปดำเนินการ ไม่เกี่ยวกับพรรคอื่น พรรคอื่นจะขอสงวนสิทธิ์ไม่ร่วมด้วย พร้อมย้ำว่า กำแพงที่พรรคก้าวไกลต้องข้ามให้ได้ คือ มาตรา 112 เพราะ ส.ว. และพรรคเสียงข้างน้อยก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ดังนั้น ต้องกลับไปทำการบ้าน