ความคืบหน้าคดี อุ้มฆ่าหั่นศพ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค ( MR.HANS PETER RALTER MACK ) อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชาวเยอรมัน หลังจากนายชาฮ์รูค คารีม อายุ 27 ปี สัญชาติไทย เชื้อชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาคนสุดท้าย ที่ถูกตำรวจจับกุมได้ที่จังหวัดกาญจนบุรี และ ถูกนำตัวกลับมาดำเนินคดีที่ สภ.หนองปรือ ก่อนจะถูกได้นำตัว  ย้ายไปควบคุมขัง ที่ สภ.บางละมุง เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหามีการพูดคุยหรือตกลงกัน ประกอบกับทนายและญาติ ของ นายชาฮ์รูค แจ้งกับตำรวจว่า นายโอลาฟ หนึ่งในผู้ต้องหาตัวการใหญ่ได้ข่มขู่จะมีการลักพาตัว แฟนและน้องสาว ของนายชาฮ์รูค เกรงว่าหากนำตัวเข้าไปเจอกันในห้องขังจะทำให้เกิดอาการเครียด  

ล่าสุด นายชาฮ์รูค ได้ถูกนำตัวไปสอบสวน โดยมี พล.ต.ต.ธีระชัย ชํานาญหมอ ผบก.กก.สส.ภาค 2 ร่วมสอบปากคำโดยใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชม. ต่อมา นายซาบาส , นางแพท , นายชาลี พ่อแม่และพี่ชาย ได้เดินทางมาเยี่ยม โดยนำน้ำอัดลม น้ำมะพร้าว และ เคบับไก่ 2 ม้วน มาให้ นายชาฮ์รูค โดยระหว่างที่พูดคุยกันผ่านกรงเหล็กในห้องขัง จะพบว่า นายชาลี ผู้เป็นพี่ชายมีการใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกเสียงคำพูดบทสนาของน้องชายตลอดเวลา โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงเดินออกมาจากห้องขัง

โดย นายชาฮ์รียาร์ อายุ 30 ปี พี่ชาย เล่าว่า น้องชายยังยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมือสังหาร หรือรู้เห็นกับเหตุการณ์ฆาตรกรรมในครั้งนี้ แต่ที่ต้องตกเป็นผู้ร่วมขบวนการเพราะถูก นายโอลาฟ ข่มขู่จะลักพาตัวน้องสาวและแฟน โดยมีการส่งรูปภาพไปให้สมาชิก “แก๊งเอาท์ลอว์” หากใครเจอน้องชาย ให้จัดการได้ทันที ส่วนคำให้การน้องชายขอรอทนายก่อน และจะให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบหมดเปลือก

พร้อมยังกล่าวต่ออีกว่า นายชาฮ์รูค น้องชาย ทำอาชีพเป็นนายหน้า ซื้อขายที่ดิน โดยส่วนใหญ่จะมีกลุ่มลูกค้าอยู่โซนภาคใต้ คือ ภูเก็ต และ สุราษฎร์ธานี จึงทำให้น้องชายรู้จัก กับนางเพทรา นายหน้าชาวเยอรมัน ที่ร่วมทำธุรกิจด้วยกัน และ รู้จักกับนายโอลาฟ ในฐานะที่ชื่นชอบรถฮาเล่ย์ และอยู่ในวงการไบค์เกอร์เหมือนกัน

ด้าน นางแพท อายุ 56 ปี ผู้เป็นแม่เล่าว่า มั่นใจว่าลูกชายไม่ใช่คนลงมือทำจึงอยากขอความเป็นธรรมด้วย ในความรู้สึกตอนนี้เชื่อว่าคนที่วางแผนจะดึงลูกชายมาเป็นตัวละครเพื่อจะมาเป็นแพะรับบาป โดยพาไปซื้อของตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้คนเห็น ด้วยสมัยนี้กล้องวงจรปิดมีอยู่ทุกที่จึงเหมือนเป็นการจัดฉากให้ลูกชายอยู่ด้วย แต่ถ้าลูกทำจริงทางครอบครัวก็จะปล่อยให้เป็นไปตามขบวนการของกฏหมาย ส่วนที่ลูกชายไปร่วมอยู่นั้นเพราะโดนขู่ว่าจะลักพาตัวน้องสาวกับเมียไปขายที่ฝั่งประเทศกัมพูชา ซึ่งคนวางแผนรู้จุดอ่อนของลูกชายว่าเป็นคนรักน้องสาวมากจึงทำให้ต้องยินยอมตามที่ถูกบังคับ

ส่วนคำพูดเชิงลึก ของนายชาฮ์รูค ที่จะให้การกับตำรวจทั้งหมดคือในวันที่ 4 ก.ค. นางเพทรา ได้ให้ นายชาฮ์รูค เปิดบ้านพลูวิลล่าเพื่อจัดปาร์ตี้ให้กับลูกค้าคนสำคัญ พอถึงนัดหมาย นายโอลาฟ นางเพทรา และ นายฮันส์ ปีเตอร์ มัค ผู้ตาย ได้เดินเข้าไปในบ้านพลูวิลล่า โดยให้นายชาฮ์รูด รออยู่ด้านนอกนานกว่า 3 ชม. แต่พอ นายชาฮ์รูค เห็นความผิดปกติภายในบ้านพลูวิลล่า จึงเดินเข้าไปดูเปิดประตูเข้าไปก็พบว่า นาย ฮันส์ ปีเตอร์ มัค นอนหมดสติอยู่ตรงโซฟา จึงสบถคำพูดว่า “ไอ้เหี้ย พวกมึงทำอะไรกัน” ทำให้นายโอลาฟ คว้าอาวุธปืนใช้ศอกดันตัว นายชาฮ์รูค ไปติดกับกำแพง แล้วใช้อาวุธปืนจ่อหัว พร้อมทั้งพูดว่ามึงเห็นทุกอย่างแล้ว “มึงต้องมาร่วมกับกู ไม่งั้นน้องสาวมึงเมียมึง กูจะให้คนไปลักพาตัว ไปขายที่เขมรพ่อแม่มึงที่ภูเก็ต กูจะตามไปฆ่าให้หมด” พร้อมจะรูปถ่ายครอบครัว ไปให้สมาชิกแก๊งเอาท์ลอว์ โดยขู่ว่า ให้จัดการได้เลย ถ้านายชาฮ์รูค หักหลัง จึงทำให้ นายชาฮ์รูค ต้องยอมทำตามคำสั่งทุกอย่างของ นายโอลาฟ และ นางเพทรา

ขณะที่ตำรวจกำลังเร่งรวบรวมหลักฐานต่างๆ ทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล หลักฐานดีเอ็นเอ และ หลัก ฐานจากกล้องวงจรปิด ร่วมถึงพยานบุคคล ที่มีการกันไว้เป็นพยานหลายคน ไม่ว่าจะเป็นสองผัวเมีย ที่รับจ้างขนตู้แช่แข็ง , คนเปิดบัญชีม้าที่นายโอลาฟ ว่าจ้างให้รับโอนเงินผ่านบัญชี , พนักงานร้านค้าต่างๆ ที่ผู้ต้องหาไปซื้อของมาใช้ในการก่อเหตุ ทั้งเลื่อยไฟฟ้า ตู้แช่แข็ง และ อุปกรณ์ต่างๆ , อีกทั้ง โทรศัพท์มือถือที่เจอในวันที่พบศพ ปรากฎว่าโทรศัพท์ดังกล่าวไม่ใช่ของคนตาย เป็นโทรศัพท์ที่นายโอลาฟ และ นางเพทรา เพิ่งไปซื้อมาใหม่ แล้วนำมาทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ โดยโทรศัพท์เครื่องจริง ของผู้ตาย พบว่าสัญญาณไปปรากฎอยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา ซึ่งตำรวจกำลังไล่ติดตามหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว และยังพบว่ามีการลงทุนซื้อเรือสปีทโบ๊ท เพื่อเตรียมนำศพไปทิ้งกลางทะเล และที่สำคัญ ตำรวจยังพบว่า นายโอลาฟ มีการวางแผน ลงมือก่อเหตุ อย่างมืออาชีพ ทำทุกอย่างเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ ร่วมถึงวางแผนอย่างแยบยล เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรับโทษ และ โยนความผิดให้คนอื่น