กลุ่มราษฎรขอนแก่นจัดกิจกรรม Respect My Vote ซอมเบิ่งโหวตนายก ตั้งจอหนังกางแปลง รอฟังผลการโหวตนายกรัฐมนตรี ชี้ผิดหวังกับผลโหวตเพราะขัดเจตนารมณ์ประชาชน



เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 13 ก.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ศาลาเดิม ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข.  กลุ่มราษฎรขอนแก่นและภาคีเครือข่าย นำจอภาพยนตร์ พร้อมเครื่องเสียงลำโพง มาติดตั้งภายในศาลา และนำเก้าอี้มาเรียงเพื่อรอมวลชนมาร่วมกิจกรรม ”Respect My Vote ซอมเบิ่งโหวตนายก“ ซึ่งได้มีการโพสต์เชิญชวนผ่านในสื่อโซเชียลมีเดียกันอย่างแพร่หลาย ท่ามกลางความสนใจของผู้รักประชาธิปไตยเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

 ซึ่งภายหลังผลโหวตออกมาทราบผลแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลแพ้ผลโหวตอย่างไม่เป็นทางการ ด้วยมติ เห็นชอบ 324 ไม่เห็นชอบ 182 งดออกเสียง 199 เสียง ซึ่ง ภายหลังจากทุกคนทราบผลการโหวตเห็นชอบนายกรัฐมนตรีก็ได้ร่วมกันจุดเทียนซึ่งทางกลุ่มราษฎรขอนแก่นได้นำมาเรียงเป็นตัวอักษรภาษาว่า R.I.P. แสดงออก เป็นสัญลักษณ์ไว้อาลัยให้กับสว. ที่ส่วนใหญ่งดออกเสียง โดยมองว่าเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีคนที่ที่ 30 ชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล

นายวุฒิรักษ์ แพงตาแก้ว อดีตผู้สมัครส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า  ผลที่ออกมาไม่ถือว่าผิดคาด หากจะถามว่าเป็นการสวนมติของประชาชนหรือไม่จริงๆก็ไม่ได้เป็นการส่วนมติของประชาชนแต่เป็นการสวนเจตนารมณ์ของประชาชนที่อยากเห็นประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงโดยมีนายกรัฐมนตรีชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล

"บรรยากาศวันนี้ก็เป็นไปตามคาด 8 พรรคยังจับมือเหนียวแน่น ไม่มีใครเปลี่ยนใจ ซึ่งก็ขอชื่นชม ส.ส.พรรคร่วมยังอยู่ไม่ไปไหน ส่วน สว.ก็เป็นไปตามคาด ว่าพรรคร่วมกับสว.ขัดกันอย่างไร แต่ไม่คิดว่าหลายคนเลือกโหวตงดออกเสียง แล้วจะมาพูดว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งมองว่าเป็นการไม่แยแสประชาชนมากกว่า ส่วนที่มี 13 ท่านออกมาเห็นชอบก็ต้องขอชื่นชมที่ลบคำพูดของบางคนที่บอกว่าจะมี สว.โหวตไม่เห็นชอบไม่ถึง 10 คน จึงอยากฝากถึง สว.ให้เห็นแก่ประชาชน เห็นแก่ประเทศ เพราะพรรคร่วมเตรียมพร้อมแผนในการแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน แก้ไขปัญหาของประเทศ แต่ผลออกมาทำให้เสียโอกาสไปหลายด้าน"

นายวุฒิรักษ์ กล่าวต่ออีกว่า การโหวตวันนี้จะมองว่าเป็นการฝืนมติของประชาชนหรือไม่ส่วนตัวอาจจะยกตัวอย่างคำพูดของ ส.ว.บางท่านที่บอกว่า 14,000,000 เสียงเลือกก้าวไกลรวมกับพรรคร่วมอีก 13,000,000 เสียงเป็น 27,000,000 เสียงซึ่งต้องบอกว่าไม่ได้เป็นการสวนมติแต่เป็นการสวนเจตนารมณ์ของพรรคร่วมมากกว่าโดยจำนวน ส.ส.ของพรรคร่วมรวม รวมกันทั้ง 8 พรรค มีทั้งหมด 312 คนนั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการให้เกิดการรวมกันเป็นรัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศโดยการเปลี่ยนแปลงคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะแก้ไขปัญหาทุกๆด้านโดยที่ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง