ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3)ประกอบมาตรา 101 (6)หรือไม่ จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวีจำกัดมหาชนจำนวน 42,000 หุ้น รวมทั้งมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ก่อนโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.66 นั้น นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนทุกส่วนกำลังจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 ก.ค.66 โดยต่างคาดหวังที่จะให้การโหวตเป็นไปอย่างราบรื่นและไร้ปัญหาเช่นเดียวกับการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะคาดหวังที่จะไม่มีการประท้วงหรือเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นเพราะจะกระทบต่อความเชื่อมั่นโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่กำลังเข้าสู่ไฮซีซั่นและเป็นเครื่องยนต์หลักที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เนื่องจากภาคส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้มีแนวโน้มทั้งปีจะติดลบ 2% หรือไม่เติบโตเลย
ขณะที่กรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ภาคเอกชนคาดหวังแค่อยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาล เพราะเอกชนสามารถทำงานร่วมกับพรรคการเมืองใดก็ได้ และคาดหวังจะให้จัดตั้งรัฐบาลตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ไม่เกินเดือนส.ค.นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ เพราะมีเรื่องเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจที่ต้องรอรัฐบาลใหม่มาขับเคลื่อน โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ