นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ ประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อวันที่ 9 ก.ค.66 ตอน "สัญญาณ?" โดยระบุว่า ถ้าพรรคก้าวไกลมั่นใจได้ ส.ว. สนับสนุนครบ 65 เสียงแล้ว ยิ่งไม่ควรต้องจัดชุมนุมส่งสัญญาณอารมณ์ถึงเหตุการณ์โหวต 13 ก.ค. เพราะจะทำให้เกิดผู้ไม่หวังดีเข้าแทรกแซง ปั่นป่วนจนมีความคั่งแค้นและเกิดความเสียทายทางการเมือง
นายจตุพร กล่าวว่า แกนนำพรรคก้าวไกลหลายคน ทั้งศิริกัญญา ตันสกุล, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และชัยธวัช ตุลาธน ล้วนแสดงความมั่นใจได้เสียง ส.ว.เพียงพอผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ 376 เพื่อให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ได้เป็นนายกฯ จากการโหวตรอบแรกในวันที่ 13 ก.ค.นี้
อีกทั้ง ถามพรรคก้าวไกลมั่นใจจริงหรือไม่ พร้อมยกตัวอย่างว่า ตนเคยมั่นใจมาแล้วเมื่อครั้งชุมนุมหนุนเลือกนายกฯ เมื่อปลายปี 2551 ระหว่างพรรคเพื่อไทยส่ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ผลออกมาแพ้นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จนราบคาบ ซึ่งเป็นบทเรียนฝังใจกับทักษิณ ชินวัตร ที่ให้คำมั่นสัญญาว่า พล.ต.อ.ประชา ชนะแน่นอนและได้ฟอร์มตัวตั้งรัฐบาลไว้แล้ว แต่ไม่เป็นความจริง
"ส่วนเสียง ส.ส. มีแน่นอน 311 เสียง แต่ถ้ามั่นใจรวบรวม ส.ว.ได้จริงเกิน 65 เสียงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปสุ่มเสี่ยงอะไรกับการชุมนุม (เมื่อ 9 ก.ค.) หากมีใครสักคนชูป้ายเรื่อง 112 หรือเรื่องอื่นแล้ว มันจะลากให้กลายเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งทันที”
นายจตุพร ยกบทเรียนส่วนตัวมาเตือนว่า ตนเคยทำชุมนุมเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน และไม่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
จากนั้นรัฐบาลที่เป็นฝ่ายชนะก็ต้องอยู่กับม็อบไปตลอดเช่นกัน ซึ่งปัญหานี้กำลังจะกลับมาอีกรอบหนึ่ง เพียงแต่จะจบกันอย่างไรเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม ยังเห็นว่า แม้การแสดงออกของพรรคก้าวไกลสวนทางกับสิ่งที่แถลงถึงเสียง ส.ว.มีจำนวนเพียงพอผ่าน 376 เสียง แต่ทางการเมืองเมื่อมีความเบ็ดเสร็จแล้วจะไม่เดินเกมเสี่ยงจนกว่าอำนาจจะอยู่ในมือ อีกอย่างการชุมนุมขอบคุณประชาชนนั้น สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเสียง ส.ว.ที่จะได้รับเกิน 65 เสียงตามที่ต้องการ
ขอบคุณรายการ:ประเทศไทยต้องมาก่อน