เมื่อวันที่ 9 ก.ค.66 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เปิดข้อมูลผ่านเฟสบุ๊กระบุว่า

“การรับมือกับอีกหนึ่งโรคติดเชื้อสำคัญที่สุ่มเสี่ยงจะระบาดไปทั่วโลกซึ่งองค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญ: ไข้เลือดออกไครเมีย-คองโกกับการระบาดในอัฟกานิสถานและการเตรียมพร้อมของประเทศไทย

ไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก (Crimean-Congo Hemorrhagic Fever: CCHF) เป็นโรคไวรัสที่อันตรายและอาจถึงตายได้ซึ่งติดต่อโดยเห็บ พบการระบาดในหลายส่วนของโลก รวมถึงแอฟริกา เอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก อเมริกาใต้ และเอเชียกลาง โรคนี้พบครั้งแรกในแหลมไครเมียในปี 2487 และต่อมามีการระบาดในคองโก จึงเป็นที่มาของชื่อ “ไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก”

องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญและจัดให้เป็นหนึ่งในสิบโรคติดเชื้อไวรัสที่มีศักยภาพจะแพร่ระบาดไปทั่วโลก เพราะพบการระบาดของโรคไข้เลือดออกไครเมีย-คองโกถี่ขึ้นในช่วงปี 2564-2566

• อัฟกานิสถานมีรายงานผู้ป่วย 111 ราย และเสียชีวิต 6 รายจากโรคไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปี 2566  โดยพบผู้ป่วยไข้เลือดออกไครเมีย-คองโกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 90  คน โดยเฉพาะในจังหวัดเฮรัต (Herat) ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อ 36 ราย มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ก่อนหน้านี้ มีรายงานผู้ป่วย 3 รายในจังหวัดทัคคาร์ (Takhar) โดยมีผู้ป่วย 1 รายเสียชีวิตด้วยโรคนี้เช่นกัน

ขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นและโรคแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของอัฟกานิสถานกำลังทำงานแข่งกับเวลาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและปกป้องประชากรจากอันตรายเพิ่มเติม

• พบการระบาดในอิรัก 380 รายในปี 2565 เสียชีวิต 74 ราย

• อิหร่านช่วงเดือนมีนาคม 2564-มีนาคม 2565 มีผู้ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก13 คนในประเทศ เพิ่มขึ้น 500 เปอร์เซ็นต์ โดย 2 คนเสียชีวิต และหนึ่งปีก่อนหน้านั้น พบติดเชื้อ ไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก 40 คนและเสียชีวิต 5 คน

ไข้เลือดออกไครเมีย-คองโกเป็นไวรัสที่มีเห็บเป็นพาหะทำให้เกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออกรุนแรง โดยมีอัตราการเสียชีวิต 10-40% ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO)

ไวรัสไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก ติดต่อผ่านการกัดของเห็บหรือผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างและทันทีหลังการเชือดสัตว์เพื่อบริโภค

• ยังไม่พบการระบาดในไทย

“ไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก”มีสาเหตุมาจาก “ไวรัสไนโร (Nairovirus)” ที่มีเห็บเป็นพาหะ ซึ่งอยู่ในวงศ์ของไวรัส “บันยาวิริเด (Bunyaviridae)” มีจีโนมเป็นอาร์เอ็นเอสายเดี่ยว แบ่งเป็นสามท่อน (L, M และ S) แพร่เชื้อโดยเห็บ (Ixodidae และ Argasidae) เป็นหลัก อีกทั้งสามารถแพร่เชื้อตามธรรมชาติระหว่างสัตว์สู่สัตว์เช่นในนก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก (ค้างคาว หนู ตัวตุ่น และเม่น) และสัตว์เท้ากีบ ร่วมด้วย ในบางกรณีมีการติดเชื้อไวรัสไนโรแพร่กระจายไปยังมนุษย์ โดยพบระบาดในผู้คนเลี้ยงสัตว์ และพนักงานในโรงฆ่าสัตว์

องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังติดตามสถานการณ์ในอัฟกานิสถานอย่างใกล้ชิด เนื่องจากไข้เลือดออกไครเมีย-คองโกถือเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สำคัญ

ไวรัสไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก ติดเชื้อมายังมนุษย์จากการถูกเห็บกัดหรือการสัมผัสกับเลือดหรือเนื้อเยื่อของสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ  อาการจะเกิดขึ้นระหว่าง 1-14 วันหลังเห็บกัดหรือสัมผัสสารคัดหลั่ง โดยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และมีเลือดออก กรณีที่รุนแรงอาจทำให้อวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิตได้ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศต่างๆ ควรเร่งเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

แม้จะไม่มีการรักษาเฉพาะ แต่การดูแลแบบประคับประคองสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตในผู้ป่วยไข้เลือดออกไครเมีย-คองโกได้ โดยมีอัตราการเสียชีวิตของโรคอยู่ในระหว่าง 10-40% และอาจพุ่งสูงถึง 60% ในช่วงที่มีการระบาด ตัวเลขเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของมาตรการป้องกัน เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเห็บ ใช้ยาขับไล่แมลง และการรักษาโดยทันทีเมื่อเห็บกัด ในโรงงานฆ่าสัตว์คนงานควรสวมถุงมือและชุดป้องกันการสัมผัสกับเลือดหรือเนื้อเยื่อของสัตว์ติดเชื้อ