เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 6 ก.ค. 66 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีการเตรียมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ถึงท่าทีของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็ชัดเจนว่าจะไม่สนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ว่า ตนไม่แน่ใจว่าชัดเจนขนาดไหน แต่นายพิธาก็บอกว่าน่าจะรวบรวมได้ 376 เสียง ก็เป็นกำลังใจให้ และมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยเราไม่แตกแถว 

เมื่อถามต่อว่า มีเสียงออกมาระบุชัดเจนว่าจะไม่สนับสนุนนายพิธา แต่หากเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ก็พร้อมที่จะสนับสนุน นายเศรษฐา กล่าวว่า “ยินดีครับ จริงๆ แล้ว 8 พรรคเรา ก็มี 312 เสียง ก็ต้องการอีกแค่ 64 เสียง ก็น่าจะผ่านได้ ซึ่งก็ยังมีความหวัง และยังมั่นใจ ย้ำว่านายพิธาก็มั่นใจ ว่าจะได้ 376 เสียง” 

เมื่อถามต่อว่า ส.ว.ควรที่จะยึดตามหลักการหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ระบุว่า จะยึดหลักการที่ใครสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ ก็พร้อมที่จะสนับสนุน แต่ขณะนี้ก็มีส.ว.หลายคนออกมาระบุชัดเจนว่า มีเงื่อนไขในเรื่องกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นายเศรษฐา กล่าวว่า มีส.ว.หลายคนออกมาให้ความเห็น แต่ก็มีหลายคนที่ยังไม่ออกมาให้ความเห็น ซึ่งเชื่อว่าวันที่จะมีการโหวตกัน เขาน่าจะทำตามฉันทามติของพี่น้องประชาชน 

เมื่อถามความเห็นในกรณี หากโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งแรกไม่ได้ ควรที่จะให้โอกาสอีกครั้งหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตรงนี้ต้องมานั่งดูว่าคะแนนเสียงที่ได้เป็นอย่างไรบ้าง ตนเชื่อว่าหากคะแนนขาดอยู่เล็กน้อย ก็น่าจะมีการให้โอกาสกันบ้าง ส่วนที่หลายคนบอกว่า หากท้ายที่สุดแล้วนายพิธาไม่ได้ แล้วต้องตกมาที่พรรคเพื่อไทยนั้น ตนไม่อยากคิดตรงนั้น เพราะเราอยู่พวกเดียวกัน และต้องโหวตให้กันอยู่แล้ว ซึ่งจะไม่เหมาะสม หากตนจะให้ความเห็นไปในแง่อื่น

เมื่อถามความเห็นในกรณี หากพรรคก้าวไกลยังอยู่ในสมการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะไม่ได้รับเสียงที่เพียงพอจากส.ว. มีโอกาสที่พรรคก้าวไกลจะยอมสละตัวเองออกจากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลเดินหน้าต่อได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีการคุยเรื่องที่พรรคก้าวไกลจะสละตัวเองออก เราตัวติดกัน เรามาจากฝ่ายประชาธิปไตย และ 8 พรรคก็เซ็นเอ็มโอยูเรียบร้อยแล้ว ส่วนประเด็นที่บอกว่าเราจะแยกจากกัน ตนไม่เคยได้ยิน เมื่อถามย้ำถึงกรณีที่ส.ว.เคยออกมาระบุว่าพร้อมจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ภายใต้เงื่อนไขที่พรรคก้าวไกลต้องถอยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าเป็นความเห็นของส.ว.ท่านเดียวที่พูดมา ซึ่งก็ยังมั่นใจว่า ส.ว.ส่วนใหญ่คงน่าจะให้การสนับสนุนเสียงที่มาจากพี่น้องประชาชน 

เมื่อถามอีกว่า ขณะนี้ส.ว. ส่วนใหญ่ก็ได้ส่งสัญญาณมาแล้ว ว่าจากที่เคยจะโหวตให้นายพิธา ตอนนี้ก็เริ่มลดลง ถือว่าจะเป็นโอกาสดีให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายเศรษฐา ย้อนถามกลับว่า “โอกาสดีคืออะไร” ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าส.ว.เห็นว่ามีมาตรา 112 และในเอ็มโอยูที่ออกมาพรรคเพื่อไทยก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่แตะมาตรา 112 นายเศรษฐากล่าวว่า “ผมว่าก็ต้องปฏิบัติตามเอ็มโอยู” 

เมื่อถามว่า หากการโหวตครั้งแรกไม่ผ่าน ก็ต้องมีครั้งที่ 2 มองว่าต้องมีครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า“อย่าเพิ่งไปไกลขนาดนั้นเลย ไปทีละสเต็ปดีกว่า อย่างที่บอกว่าเรามาจากฝ่ายประชาธิปไตย และเราเองก็คุยกันรู้เรื่องการโหวตประธานสภาฯ ก็ผ่านไปได้ด้วยดี การโหวตเลือกนายกฯ ก็หวังว่าจะจบได้ด้วยดี”

เมื่อถามถึงกรณีที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะว่าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฏรคนที่ 2 ออกมาให้ความเห็นว่า หากโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งแรกไม่ผ่าน จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ใหม่ ในวันที่ 19 และ 20 ก.ค. นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นความเห็นของนายพิเชษฐ์ และการกำหนดวันประชุมเป็นหน้าที่ของประธานสภาฯ และเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ตนไม่ไปก้าวล่วงตรงนี้ เมื่อถามย้ำว่า พรรคก้าวไกลควรลดเพดานเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ลง เพื่อให้ได้เสียงสนับสสนุนจากส.ว.หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ทุกอย่างเราทำตามเอ็มโอยูที่เซ็นไป ส่วนการจะแก้ไขเอ็มโอยูได้หรือไม่นั้น ตนคิดว่า ณ จุดนี้คงไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะเซ็นกันไปแล้ว 

เมื่อถามย้ำว่า จะจับมือกับพรรคก้าวไกลตลอดไปใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ก็จับมือครับ และวันนี้ก็ยังจับมือกันอยู่ ไม่ได้มีอะไรผิดใจกัน และยังมีการประชุมกันอยู่อย่างต่อเนื่อง”