วันที่ 6 ก.ค.66 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ในหัวข้อ “ยิ่งกินยาแก้ปวดหัว ยิ่งจะปวดหัว” ระบุว่า...
เราทุกคนอาจเคยปวดศีรษะสักครั้งหนึ่งของชีวิต ซึ่งเวลาปวดศีรษะเราก็จะกินยาแก้ปวดที่มีติดไว้ประจำบ้านบ้าน เช่น พาราเซตามอล หรือ ไปซื้อยาตามร้านขายยามารับประทาน ยาแก้ปวดเหล่านี้ปลอดภัยหรือไม่ แล้วจริงๆ ยาแก้ปวดเหล่านี้รับประทานบ่อย ๆ หายปวดทุกครั้งหรือไม่ และทำให้ปวดศีรษะได้มากกว่าเดิมจริงหรือไม่
เป็นที่ทราบกันดีว่า ยาแก้ปวดที่เรารับประทาน ไม่ได้ปลอดภัยเสียทีเดียวหากรับประทาน “มากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นพาราเซตามอลที่มีผลต่อตับ ยากลุ่ม NSAID (เช่น ibuprofen, naproxen ฯลฯ) ก็เป็นพิษต่อไต และทำให้มีแผลในกระเพาะอาหารจนเลือดออกได้ หรือแม้แต่ยากลุ่ม ergot ที่เราพบกันในข่าวสารว่าสามารถทำให้มือหรือเท้าขาดเลือดถึงขั้นต้องตัดมือตัดเท้า อีกทั้งยาแก้ปวดศีรษะเหล่านี้ ถ้าใช้มากเกินไปหรือถี่เกินไปยังกลับทำให้อาการปวดศีรษะมากขึ้นกว่าเดิม อาการปวดศีรษะแบบนี้เรียกได้ว่า “โรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินความจำเป็น (Medication overuse headache)” หรือ “MOH”
โรค MOH คืออะไร และใครที่มีโอกาสเป็นโรค MOH บ้าง?
โรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินความจำเป็น (MOH) มักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีโรคปวดศีรษะเป็นประจำอยู่เดิม (เช่น โรคไมเกรน) และรับประทานยาแก้ปวดมากเกินไปจนทำให้อาการปวดศีรษะที่มีความถี่มากขึ้น หรือมีลักษณะอาการปวดศีรษะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สำหรับคำว่า “มากเกินไป” หรือ “มากเกินความจำเป็น” นั้น พบว่าหากเป็นยากลุ่มพาราเซตามอล หรือยากลุ่ม NSAID มักหมายถึงการใช้ยาตั้งแต่ 15 วันต่อเดือนขึ้นไป แต่หากเป็นยาแก้ปวดกลุ่มอนุพันธุ์ของฝิ่น (opioid), ยากลุ่ม ergot หรือ ยากลุ่ม triptan จะหมายถึงการใช้ยาตั้งแต่ 10 วันต่อเดือนขึ้นไป นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจจะสังเกตอาการเพิ่มเติมได้ง่าย ๆ ว่ามีความเสี่ยงจะเกิดโรค MOH โดยผู้ป่วยอาจรับประทานยาแก้ปวดแล้วออกฤทธิ์สั้นลง หรือรับประทานแล้วไม่หายปวดศีรษะ
ทำไมยาแก้ปวดถึงทำให้ปวดศีรษะมากกว่าเดิมได้?
สำหรับกลไกการเกิดโรค MOH นั้นโดยสรุปแล้วเชื่อว่าเกิดจากการที่ใช้ยาแก้ปวดจำนวนมากเป็นระยะเวลาพอสมควร จะทำให้สมองกลับมีการสร้างตัวรับความรู้สึกเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเมื่อระดับยาแก้ปวดลดลงจะทำให้สมองเกิดความไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้นโดยอัตโนมัติแม้ไม่ได้มีสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ
โรค MOH รักษาอย่างไร และเราจะต้องใช้ยาแก้ปวดอย่างไรให้ปลอดภัยและไม่ให้เกิดโรค MOH?
การรักษา MOH มีหลักการง่าย ๆ คือการหยุดยาแก้ปวดที่ทำให้เกิด MOH รวมถึงไปพบแพทย์ เพื่อรักษาโรคปวดศีรษะเดิมให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตามหลักการที่ว่าง่ายนั้นในโลกความเป็นจริงกลับทำได้ยาก เนื่องจากการหยุดยาแก้ปวดมักจะทำให้ผู้ป่วยต้องทรมานจากอาการปวดอยู่ช่วงหนึ่ง
เพราะฉะนั้นจะเป็นการดีกว่าหากเราป้องกันไม่ให้เกิด MOH ตั้งแต่ต้น โรค MOH นี้สามารถป้องกันได้ง่ายมากเพียงใช้ยาแก้ปวดให้ถูกต้องและเหมาะสม เช่น ในผู้ป่วยโรคไมเกรนควรใช้ยาแก้ปวดขณะที่มีอาการปวดเท่านั้น และใช้ยาแก้ปวดตั้งแต่เนิ่น ๆ ที่เริ่มมีอาการปวดศีรษะแต่ละครั้ง ที่สำคัญที่สุดคือหากผู้ป่วยโรคไมเกรนมีอาการปวดศีรษะมากขึ้นหรือถี่ขึ้นอย่างผิดสังเกต ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้ยาแก้ปวดมากจนใกล้เคียงกับปริมาณที่ทำให้เกิด MOH ได้ (ดังกล่าวข้างต้น) จะต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโรคไมเกรนอย่างถูกต้องโดยการใช้ “ยาควบคุมหรือยาป้องกันอาการปวดศีรษะ” ซึ่งเป็นยาคนละแบบกันกับยาแก้ปวด การใช้ยาควบคุมอาการปวดศีรษะนี้จะช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของการปวดศีรษะได้ ทำให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรับประทานยาแก้ปวดมากนั่นเอง นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความถี่ของอาการปวดศีรษะเดิม เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การหลีกเลี่ยงปัจจัยการตุ้นที่ให้ปวดศีรษะ ก็มีความสำคัญเช่นกัน
การที่โรค MOH ไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาจเป็นสาเหตุรากเหง้าที่ทำให้ผู้ป่วยหลายคนใช้ยาแก้ปวดมากเกินโดยไม่รู้มาก่อนว่าจะทำให้ปวดศีรษะรุนแรงกว่าเดิมได้ ดังนั้นในปีนี้ โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ถึงตระหนักในโรคปวดศีรษะโดยเฉพาะโรคปวดไมเกรน ทางชมรมศึกษาโรคปวดศีรษะฯ จึงวางแผนรณรงค์ให้เกิดความตระหนักในโรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินความจำเป็น (MOH) ไปพร้อม ๆ กัน โดยมีสโลแกนง่าย ๆ คือ “More pills, More pain” หรือ “ยิ่งกินยา ยิ่งปวดหัว” เพื่อให้ประชาชนรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ให้รู้จักและตระหนักถึงโรค MOH มากขึ้น
นพ.ประกิต อนุกูลวิทยา และ ผศ.นพ.เสกข์ แทนประเสริฐสุข
อายุรแพทย์ระบบประสาท คลินิกโรคปวดศีรษะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ประธานฝ่ายพัฒนาการศึกษา และประธานฝ่ายวิจัย ชมรมศึกษาโรคปวดศีรษะภายใต้สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย