ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายลูไอ แซแง อายุ 27 ปี กับพวกรวม 3 รายเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายฯอั้งยี่ซ่องโจร, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ,ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลได้รับบาดเจ็บสาหัส ทรัพย์สินผู้อื่นหรือโรงเรือน ร่วมกันทำไว้มีไว้ซึ่งวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ไว้ในครอบครองได้ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา จากกรณีที่เมื่อระหว่างวันที่ 13 ก.ค. 62 ถึง 2 ส.ค.62
จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องรวม 18 ราย ได้ร่วมกันแบ่งหน้าที่จัดทำระเบิดแสวงเครื่องไปวางไว้ตามสถานที่ราชการ อาทิ หน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ,ริมทางเดินเท้า ถนนพระรามที่ 1,หน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และนำไปที่บริเวณหน้าอาคารบี รัฐประศาสนภักดี และบริเวณหน้ารั้ว อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย ภายในศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมและนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายโดยจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธและต่อสู้คดี
โดยศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานต่าง ๆ ทั้งพยานบุคคล กล้องวงจรปิด การตรวจพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ มีความเชื่อมโยงสอดคล้องกัน ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้ง 3 คนในชั้นซักถามของเจ้าพนักงานภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สอดคล้องกันและรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และ 2 ร่วมกันนำวัตถุระเบิดไปวางไว้หน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเล็งเห็นว่าหากระเบิด จะทำให้ประชาชนที่ผ่านไปมาบริเวณดังกล่าวอาจถึงแก่ความตายได้ มีความผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาจำคุกฐานอั้งยี่ 6 เดือน , ฐานก่อการร้าย จำคุก 10 ปี , และฐานใช้วัตถุระเบิดฯ จำคุกตลอดชีวิต แต่จำเลยทั้งสองรับสารภาพในชั้นซักถาม ลดโทษ 1 ใน 3 คงเหลือจำคุก 39 ปี 16 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 3 มีหลักฐานรับฟังได้ว่า เป็นคนพาจำเลยที่ 1 และ 2 ไปดูลาดเลาสถานที่ก่อนลงมือวางระเบิดที่ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งยังเป็นผู้ไปซื้ออุปกรณ์ประกอบวัตถุระเบิด ร่วมประชุมวางแผนก่อเหตุที่ประเทศเพื่อนบ้าน และได้ร่วมก่อเหตุวางระเบิดบริเวณหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม , อาคารมหานคร King power และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี , และบริเวณศูนย์ราชการ รวมทั้งสิ้น 4 คดี อีกทั้งจำเลยที่ 3 ยังเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลจังหวัดนราธิวาสและกระทำผิดซ้ำภายใน 5 ปีหลังพ้นโทษ จึงให้เพิ่มโทษ 1 ใน 3 แต่จำเลยก็ให้การรับสารภาพในชั้นซักถาม จึงมีเหตุลดโทษ 1 ใน 3 คงเหลือพิพากษาให้จำคุกคดีละ 41 ปี 18 เดือน 60 วัน รวม 4 คดี รวมเป็นโทษจำคุก 164 ปี 72 เดือน 240 วัน แต่ให้จำคุกสูงสุดตามที่ศาลกำหนดให้จำคุกถึง 50 ปี และให้ยึดของกลางทั้งหมด
ส่วนการกระทำความผิดที่อื่นนั้น ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้อง คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ด้านนายกิจจา อาลีอีสเลาะ ทนายความฝ่ายจำเลยกล่าวว่า สำหรับโทษในคดีนี้ถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับคดีความมั่นคงอื่นๆ และถือว่าได้ให้ความศาลเมตตาแล้ว โดยหลังจากนี้จะนำจำเลยทั้งหมดย้ายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปยังเรือนจำกลางคลองเปรมเนื่องจากโทษมีอัตราสูงขึ้น