เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 ก.ค. 66 ที่อาคารอนาคตใหม่ ภายหลังการประชุมคณะทำงานงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาลของทั้ง 8 พรรค ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าพรรคและแกนนำ อาทิ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล, นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช พรรคเสรีรวมไทย, นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม, น.อ.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ, นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย, นายวสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทรวมพลัง และดร.เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่
โดยนายพิธา ได้แถลงผลการประชุมของคณะทำงานประสานงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาลในช่วง 46 วันที่ผ่านมา ของทั้ง14 คณะ ซึ่งในวันนี้มีความคืบหน้าของคณะทำงาน 3 คณะ ได้แก่ 1.คณะทำงานด้านพลังงาน ได้ประชุมในเรื่องราคาน้ำมันดีเซล ที่มีโอกาสจะขึ้นราคา 5 บาท ในวันที่ 20 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเราเข้าใจว่ายังอยู่ในช่วงของรัฐบาลรักษาการอยู่ เราจึงพิจารณาอย่างระมัดระวัง ดูทั้งข้อดีข้อเสีย ผลกระทบต่อสถานะกอฃทุกต่างๆ รวมถึงราคาเนื้อน้ำมันและแก๊สจากต่างประเทศ ทั้งนี้ได้มีความเห็นตรงกันทั้ง 8 พรรค ว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในขณะนี้ และสามารถที่จะเลื่อนการตัดสินใจในกรณีนี้ไปได้ก่อน ในเรื่องของค่าไฟฟ้า ค่า ft ตามที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการลดค่าไฟ50-70 สตางค์ ผ่านทางกลไกต่างๆ ได้ และการนำเสนอการปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรม เพื่อหาสมดุลระหว่างราคาพลังงานกับการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยการพิจารณาเรื่องข้างต้นเป็นไปได้ด้วยดี มีเอกภาพในการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน
2.คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัลและสังคม โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย มีการนำเสนอให้มีการตั้งวอร์รูม ที่จะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ DSI เพื่อรับเรื่องร้องเรียน แก้ไขปัญหาที่เกิดจากคอลเซ็นเตอร์ แสกมเมอร์ต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน ในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ต มีแนวคิดเปลี่ยน “เน็ตประชารัฐ” เป็น “เน็ตประชาชน” ซึ่งไม่ได้แตกต่างเพียงลื่อ แต่แตกต่างในเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เพื่อให้ราคาถูกลงและมีความเสถียรมากขึ้น พร้อมย้ำว่า ไม่ได้ทำเพื่อแข่งขันกับภาคเอกชนแต่อย่างใด แต่ทำเพื่อให้ประชาชนคนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เท่าเทียมกัน ขณะเดียวกันก็มีการนำเสนอในเรื่อง ดิจิทัล ไอดี ที่จะถูกนำมาใช้ในด้านบริการสาธารณสุขและด้านการศึกษา ทั้งข้อมูลการแพทย์ ยา การรักษา ที่จะนำมารวมไว้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันเพื่อให้สะดวกต่อการรักษา อีกทั้ง ยังสามารถลดปัญหาการคอร์รัปชั่นด้วย
3.คณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน ที่มีความกังวลใจเนื่องจากหากมองสภาพเศรษฐกิจของทั้งในและนอกประเทศ ที่มีการส่งออกลดลงต่อเนื่องนั้น เราจะใช้ประโยชน์ จาก FTA ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว 14 ฉบับ ขณะเดียวกันเราก็ต้องเปิดตลาดใหม่ และพยายามทำให้เกิด FTA ใหม่ๆ เพื่อหาตลาดให้ SME และพี่น้องประชาชน ในส่วนขของหนี้ครัวเรือน มีการนำเสนอทั้งในเรื่องหนี้กยศ.และหนี้ข้าราชการ ซึ่งมีผลต่อ 14 ล้านคนประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับหนี้ครัวเรือน คณะทำงานได้เสนอ 2 ข้อด้วยกัน คือ 1.หนี้กยศ.และหนี้ข้าราชการ รวมทั้งหมดจะกระทบกับประชาชนทั้งหมด 14 ล้านคน และข้าราชการอีก 3-4 ล้านคน ในเรื่องของหนี้การกู้ยืมเพื่อการศึกษา กยศ. ซึ่งตัวกฎหมายนั้นผ่านแล้ว แต่ยังไม่มีการบังคับใช้ ซึ่งจะมีการบังคับใช้โดยเร็วที่สุด มีการพูดถึงการสร้างแรงจูงใจในเรื่องของค่าปรับดอกเบี้ย จากร้อยละ 0.5 ลดเหลือร้อยละ 0.25 และเน้นที่เงินต้นมากกว่าดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาให้แก่พี่น้องประชาชนที่มีปัญหาในเรื่องหนี้ กยศ. รวมถึงการปรับโครงสร้างในเรื่องระยะเวลาของการผ่อน สำหรับหนี้ข้าราชการก็เช่นกัน ซึ่งมีความน่ากังวลพอสมควรเพราะว่า มีข้าราชการจำนวนมากถึง 3-4 ล้านคน ได้รับผลกระทบ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจากคณะกรรมการที่สำรวจมาทั้งข้าราชการครูและตำรวจ เมื่อได้รับเงินเดือนมาก็ถูกหักเงินจากบัญชีเพื่อใช้หนี้สหกรณ์ ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะมีเงินเดือนมากพอในการใช้ชีวิต ซึ่งในกลุ่มข้าราชการตำรวจมีอยู่จำนวนประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์ โดยเราเสนอว่าก็กรมบัญชีกลางเป็นผู้ทำข้อมูลตรงนี้และมีการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นทั้งรายได้ที่เป็นเงินเดือน หรือจะกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยไม่ว่าจะเหลือเงินเดือนเท่าไหร่ก็ตาม จะต้องเหลือเงินเดือน30 เปอร์เซ็นต์ ของเงินเดือนเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ ขณะเดียวกันมีการปรับโครงสร้างคล้ายกันกับหนี้กยศ. มีการยืดระยะเวลามากขึ้นเพิ่มแรงจูงใจในการชำระหนี้ อาทิ หากชำระหนี้เร็วจะมีการลดดอกเบี้ยโดยการหักหนี้ที่เงินต้นมากกว่าการหักที่ดอกเบี้ย ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องปกติของภาคเอกชน การบริหารจัดการหนี้ก็เป็นประมาณนี้ ตนคิดว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดจริยธรรมหรือวิธีการในการบริหารหนี้สินแต่อย่างใด ซึ่งพี่น้องข้าราชการก็ควรที่จะได้รับการบริหารหนี้เช่นเดียวกัน
นายพิธายังได้เปิดเผยถึงการหารือในเรื่องตำแหน่งประธานสภาอีกว่า ได้มีการพูดคุยกันเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกบรรจุอยู่ในวาระการประชุม แต่ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี คิดว่าจะมีความคืนหน้าขึ้นเรื่อยๆ พร้อมย้ำว่า เรามีความปรารถนาดีต่อกันและกัน และต้องให้เกียรติกับพรรคที่ยังต้องมีการประชุมอยู่ และยืนยันว่ามีความตั้งใจร่วมมือจัดตั้งรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนที่รอไม่ได้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ด้านน.พ.ชลน่านกล่าวเสริมว่า คณะเจรจาของทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคทั้งสองฝ่าย ได้มีการปรึกษาหารือกันมาตลอดอย่างไม่เป็นทางการ สิ่งที่ได้รับในการนำเสนอในวันนี้เป็นเพียงการแจ้งทราบถึงความก้าวหน้าของการพูดคุย ซึ่งทั้งสองฝ่ายยอมรับ และให้เกียรติซึ่งกันและกันในเรื่องกระบวนการทำงาน พรรคเพื่อไทยเอง เป็นพรรคที่มีความหลากหลาย มีความผสมผสานค่อนข้างมาก และเป็นพรรคที่มีความเห็นต่างค่อนข้างมาก การทำงานภายในของพรรคเอง ก็ต้องอาศัยข้อบังคับพรรค จึงเป็นความสำคัญ ต้องขอบคุณคณะทำงานของพรรคก้าวไกล ที่ยอมรับในกระบวนการการทำงานของพรรคเพื่อไทย และเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องฟังความเห็นต่างตรงนั้น
น.พ.ชลน่าน ยังกล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทยจึงนำเรียนต่อที่ประชุมว่าจะเข้าสู่กระบวนการการพิจารณาของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นกระบวนการภายในของพรรคในวันพรุ่งนี้ (3 ก.ค.) โดยจะมีการนำข้อเสนอจากคณะทำงานทั้งสองฝ่ายเพื่อหารือในที่ประชุมของส.ส.และกรรมการบริหารพรรค
“เจตจำนงในการทำงาน มุ่งผลสัมฤทธิ์ในการยึดมั่นในเจตนารมย์ที่จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตย จัดตั้งรัฐบาลของพี่น้องประชาชนให้ได้ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล แต่พวกเราทั้ง 8 พรรคร่วมจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ถ้าผลการเจรจาข้อสรุปสุดท้าย ไม่เป็นไปตามที่พี่น้องประชาชนคทดหวัง ก็จะกระทบต่อเราเช่นกัน พรุ่งนี้จะมีข้อสรุปที่มั่นใจว่าเป็นประโยชน์กับการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน และทำงานในฐานะรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยให้กับพี่น้องประชาชน” นพ.ชลน่านกล่าว