เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืน เขียนบทความ “แผนลวงเป็นฝ่ายค้าน” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“แผนลวงเป็นฝ่ายค้าน
ตำแหน่ง “ประธานสภา” กลับไปกลับมาหลายรอบ
ข่าวลือข่าวปล่อยมีทุกวัน เดี๋ยวยอมยกให้ก้าวไกล
เดี๋ยวไม่ยอม เพราะห่างกันไม่กี่เสียง
วันหนึ่งพูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง เดี๋ยวคนนั้นพูด เดี๋ยวคนนี้พูด
เดี๋ยวบอกไม่ใช่มติพรรค เดี๋ยวบอกเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละคน เปลี่ยนวันก็เปลี่ยนคำพูด
หากให้หยุดข่าวลือ แค่ยอมรับกติกาว่า ก้าวไกลได้คะแนนอันดับ 1 ก็ได้ตำแหน่งไป ทั้งประธานสภา ทั้งนายกฯ
สุชาติเองก็ปฎิเสธได้ แต่กลับทำตัวลับๆ ล่อๆ
เรื่องง่ายๆ ทำไม่เป็น ต้องทำให้ซับซ้อน นั่นเพราะมีแผนลวง
ในวันโหวตประธานสภาเป็นการลงคะแนนลับ จะเห็น “อิทธิฤทธิ์งูเห่า”
ไม่รู้ใครเป็นใคร ฟรีโหวตเต็มที่ ตำแหน่งประธานสภายกให้กันง่ายๆ ได้ที่ไหน?
แล้วจะรู้ว่า “แผนสอง” ของการให้ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านเดินหน้ากันยังไง
เงื่อนไขพรรคร่วมทั้ง 8 พรรค เหมือนเดิม จะชูพิธาเป็นนายกฯ
หยอดคำหวานว่า “ให้ก้าวไกลอยู่ช่วยเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ไม่แยกตัวไปไหน”
แต่เพื่อไทยรู้อยู่เต็มอกว่า พิธาไม่ผ่านด่าน ส.ว. แน่
เมื่อก้าวไกลไม่ได้พิธาเป็นนายกฯ ขอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเอง
เริ่มแบไต๋ให้เห็น
อันที่จริงในเมื่อพิธาไม่ผ่าน ส.ว. ก็แค่เปลี่ยนชื่อนายกฯ ใหม่ ให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย ทุกอย่างก็จบ
พูดให้ชัดว่า “หากพิธาไม่ผ่าน ส.ว. จะเสนอชื่อเศรษฐา หรืออุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ” ก็ว่าไป
ง่ายๆ มีอยู่แค่นี้ ตรงไปตรงมา แต่ก็ขยักไว้ไม่ยอมพูด
นี่แสดงว่ายังมีชื่อนายกฯ นอกจากเพื่อไทยอีกหรือ?
บีบให้ก้าวไกลถอยเป็น “ฝ่ายค้าน” อยู่ด้วยไม่ได้ เพราะ “มีลุงไม่มีเรา” อันนี้เป็นแผนสาม
ให้ก้าวไกลเดินออกไปเป็นฝ่ายค้านด้วยตัวเอง
ประชาชนเลือกตั้งไปแล้วเดือนครึ่ง ชะเง้อดู ป่านนี้ยังไม่รู้ใครเป็นนายกฯ ใครเป็นรัฐบาลกันแน่
แผนลวงนี่ร้ายลึกจริงๆ"