จะดีใจเก้อหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ กับการที่ประเทศไทยจะได้ “รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” อำนวยความสะดวกในการเดินทางทำงาน หรือท่องเที่ยว ซึ่งสามารถร่นระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างมาก ได้ใช้กันในเร็วๆนี้
หลังจากที่ก่อนหน้านี้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เจอมรสุมปัญหาในการเดินหน้าโครงการโดยเฉพาะเรื่อง “ชำระค่าสิทธิ ARL 1 หมื่นล้านบาท และเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ”
ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ผ่านมา ครม.ได้รับทราบผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) มีมติเห็นชอบหลักการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (โครงการฯ) ประกอบด้วยหลักการแก้ปัญหาการชำระค่าสิทธิโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิ้งก์ (Airport Rail Link: ARL) เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และหลักการแก้ปัญหาเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ ดังนี้
หลักการแก้ปัญหาการชำระค่าสิทธิ ARL (Airport Rail Link)จากเดิม เอกชนคู่สัญญาต้องชำระค่าสิทธิ ARL จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ( รฟท. ) ภายใน 2 ปี หลังลงนามในสัญญาร่วมลงทุนฯ เป็นเอกชนคู่สัญญาต้องชำระค่าสิทธิ ARL จำนวน 10,671.09 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 1,060.04 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 11,731.13 ล้านบาท โดยแบ่งชำระ ค่าสิทธิ ARL ออกเป็น 7 งวด ได้แก่ งวดที่ 1-6 งวดละ 1,067.11 ล้านบาท และงวดที่ 7 จำนวน 5,328.47 ล้านบาท ภายในวันที่ 24 ตุลาคม ของแต่ละปี
ทั้งนี้ การแบ่งชำระ 7 งวดดังกล่าว มีความเหมาะสม เนื่องจากผลประโยชน์จากส่วนต่างดอกเบี้ยที่เอกชนคู่สัญญาจะได้รับ (จำนวน 474.44 ล้านบาท) ใกล้เคียงกับผลกระทบที่เอกชนคู่สัญญาได้รับจากสถานการณ์ โควิด-19 (จำนวน 495.27 ล้านบาท) โดยเอกชนคู่สัญญาจะรับผิดชอบค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายทางการเงินส่วนเกินจากที่ รฟท. ต้องชำระให้สถาบันทางการเงิน และ/หรือ กระทรวงการคลัง เป็นจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินที่ รฟท. ได้รับชำระจากเอกชนคู่สัญญา
เงื่อนไขภายหลังจากการปรับวิธีการชำระเงินแล้ว ดังนี้ กรณีเอกชนคู่สัญญาไม่ชำระค่าสิทธิ ARL ตามกำหนด โดยไม่มีสาเหตุอันสมควร จะถือเป็นเหตุผิดสัญญาในสาระสำคัญ และ รฟท. จะใช้สิทธิบังคับตามสัญญาร่วมลงทุนฯ, กรณีเอกชนคู่สัญญาได้รับรายได้ค่าโดยสาร ARL สูงกว่าประมาณการ รฟท. มีสิทธิเจรจาให้เอกชนคู่สัญญาชำระค่าสิทธิ ARL เร็วขึ้น
ขณะที่ในมุมมองของ “นายประภัสร์ จงสงวน” แกนนำพรรคเพื่อไทย อดีตผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มองการแก้ปัญหาครั้งนี้ว่า ไม่เห็นด้วย ที่ประชุมครม. จะมีวาระรับทราบมติ กพอ. ที่เห็นชอบให้เอกชนผ่อนชำระค่าสิทธิร่วมลงทุนโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์(ARL) จำนวน 10,671.09 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส ออกเป็น 7 งวด และแก้ไขสัญญาร่วมทุนเงื่อนไข “เหตุสุดวิสัย” กรณีที่มีการแพร่ระบาดของโรค หรือมีสงคราม ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ
เนื่องจาก ครม. ชุดนี้ เป็นรัฐบาลรักษาการ จะไม่มีอำนาจแล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า นำเสนอ ครม.เพื่อทราบ แท้จริงแล้วคือ การอนุมัติ ตามกฎหมายของอีอีซีใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริงจะสร้างปัญหาให้กับโครงการ และสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลชุดใหม่เป็นอย่างมาก เพราะโดยหลักของทางราชการ สัญญาที่ลงนามไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสาระสำคัญ โดยคณะกรรมการ อีอีซี ที่ดูแลโครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบิน ที่เสนอ ครม.เพื่อทราบนั้น เป็นสาระสำคัญทั้งสิ้น โดยเฉพาะการจ่ายเงินช่วยเหลือให้บริษัทผู้ได้รับสัมปทาน คู่สัญญาโครงการรถเชื่อม 3 สนามบิน จากเดิมตามสัญญาคือ 'จ่ายเงินเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ' เปลี่ยนเป็น 'จ่ายตั้งแต่เริ่มดำเนินการก่อสร้าง' ทั้งนี้ตนทราบมาว่าการแก้ไขสัญญาการก่อสร้างรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน หัวใจสำคัญของโครงการนี้ คือการใช้ประโยชน์จากที่ดินมักกะสัน ไม่ใช่การก่อสร้างรถไฟฟ้าใช่หรือไม่
สำหรับสัญญาการก่อสร้างดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2563 จนวันนี้ยังไม่มีการเริ่มก่อสร้าง หรือตอกเสาเข็ม ซ้ำยังมีประเด็นพิพาท รวมถึงประเด็นการส่งมอบแอร์พอร์ตลิงค์ ซึ่งตามสัญญาต้องจ่ายเงินการส่งมอบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แต่กลับพบว่า มีการส่งมอบรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ไปแล้ว แต่จ่ายเงินเพียง 10% ส่วนเงินที่เหลืออีก 90% อยู่ในรายละเอียดของการแก้ไขสัญญาข้างต้น หากไม่พิจารณาอย่างถ่องแท้หรือทำไปโดยความกดดันจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐยิ่งกว่ากรณีค่าโง่โฮปเวลล์ จึงอยากให้ทุกฝ่ายพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนด้วย
"เรื่องนี้หากเป็นจริง คงเป็นกระบวนการที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าเมื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำงาน ผู้ที่เข้ามาดูแลกระทรวงคมนาคมจะพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น และเหตุผลที่แท้จริงที่ไม่สามารถก่อสร้างโครงการได้ แม้จะอ้างว่าเพราะสถานการณ์โควิด แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง และจนถึงปัจจุบันสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงมากแล้วจนเป็นโรคประจำถิ่น เหตุใดจึงไม่เร่งก่อสร้าง เหตุใดต้องแก้สัญญา"
การเดินหน้า “รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” ที่ตั้งใจจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางประชาชน และนักท่องเที่ยว จะสามารถเป็นจริงได้หรือไม่!?!
และถ้าสร้างเสร็จ จะกลายเป็นปัญหาเหมือน “ค่าโง่โฮปเวลล์” หรือไม่ ? ลุ้นกันต่อไป!