ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

วิชาที่เรียนเข้าใจง่ายที่สุดก็คือวิชาที่เรียนจากประสบการณ์หรือเรียนด้วยชีวิตของตัวเอง

โรงเรียนที่กงกริชเข้าเรียนตอนชั้นมัธยมเป็นโรงเรียนชายล้วนแบบกินนอน ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 มีเครื่องแบบที่หรูหรา นอกจากเสื้อราชปะแตนแล้วก็ยังต้องสวมหมวกเป็นประจำ มีชื่อเสียงในเรื่องกีฬารักบี้  แต่กงกริชเป็นผู้ชายที่ตัวเล็ก ทำให้ต้องไปเล่นกีฬาอย่างอื่น ซึ่งกงกริชเลือกเล่นฟุตบอล พอครูพละที่เป็นโค้ชฟุตบอลมองเห็นว่าเขามีความเร็วในเวลาที่วิ่งไปวิ่งมา จึงส่งให้ไปเล่นกรีฑาประเภทวิ่งระยะสั้น เขาก็ทำเวลาได้ดี และชนะเลิศได้เหรียญทองอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ในระดับโรงเรียนมัธยมด้วยกัน ยังมีนักเรียนของโรงเรียนอื่นที่วิ่งได้เร็วกว่า แต่ก็พอจะได้เหรียญรางวัลในระดับรอง ๆ มาบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจมาก แม้เมื่อทำงานแล้วเขาก็เอาเหรียญบางเหรียญมาประดับในห้องทำงาน

ในห้องเรียน กงกริชชอบวิชาคำนวณมาก เขาได้คะแนนดีในทุกวิชาที่มีการคำนวณนั้น เขายังได้เหรียญรางวัลอยู่เสมอในการแข่งขันคณิตศาสตร์ ทั้งที่แข่งขันกันในโรงเรียนและระหว่างโรงเรียนต่าง ๆ เขาบอกกับเพื่อน ๆ ที่หลาย ๆ คนเห็นว่าวิชาที่มีคำนวณนี้เป็น “ยาเบื่อ” ว่าการคำนวณนั้นไม่ยาก เริ่มต้นต้องท่องสูตรคูณให้แม่น ซึ่งเขาท่องได้ตั้งแต่ชั้น ป.2 ที่โรงเรียนให้ท่องถึงแม่ 12 จากนั้นต้องทำการบ้านให้เสร็จทุกวัน อย่าให้ค้าง เพราะจะทำให้เบื่อหน่าย หรือกลัวการส่งการบ้าน อีกอย่างหนึ่งเขาชอบที่จะเล่นอยู่ใกล้ ๆ พ่อเวลาที่ทำงาน ได้เห็นพ่อคิดเงินคิดเลขอยู่เป็นประจำ บางทีพ่อก็ถามตัวเลขง่าย ๆ ให้เขาบวกลบคูณหาร ได้รับคำชมเชยอยู่เป็นประจำ ซึ่งคำชมเชยเหล่านั้นก็เป็นเหมือนกำลังใจให้เขาหมั่นถามหมั่นเรียน ต่างจากบางบ้านที่พ่อแม่ไม่ค่อยช่วยลูกในการทำการบ้าน บ้างก็หงุดรำคาญ อาจจะด้วยความรู้น้อยหรือไม่เชี่ยวชาญในวิชาที่ลูกถาม หรืออาจจะด้วยไม่มีเวลาที่จะปลีกตัวมาเอาใจใส่ในเรื่องแบบนี้ ก็เลยทำให้ลูกเบื่อหน่ายหรือไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งไปกว่านั้นกงกริชยังบอกใครต่อใครว่า การที่เขาเก่งคำนวณนั้นก็เพราะเขาชอบตอบปัญหาชิงรางวัล โดยนิตยสารบางฉบับจะมีรางวัลให้สำหรับการคำนวณบางอย่าง ซึ่งเขาได้เล่นมาตั้งแต่ที่อยู่ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯก็ยิ่งมีการแข่งขันมากขึ้น ทำให้เขารู้สึกสนุกและมีความสุขในทุกครั้งที่ได้รางวัล

ช่วงที่เขาเรียนอยู่ในกรุงเทพฯนี่เอง ที่ทำให้เขาได้ซึมซับเอาอุดมการณ์ทางการเมืองบางอย่างเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ใน พ.ศ. 2516 ที่เขากำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา ในตอนต้นเดือนตุลาคมก็มีข่าวว่ามีการชุมนุมกันของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อประท้วงไม่ยอมเข้าสอบ มีการล็อกกุญแจห้องเรียน แล้วอภิปรายโจมตีเผด็จการทหาร เรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากว่าโรงเรียนของกงกริชเป็นโรงเรียนที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัดตามแบบของโรงเรียนกินนอน ทำให้เขาไม่ได้รู้รายละเอียดของเหตุการณ์การประท้วงนี้มากนัก จนเมื่อมีการจลาจลเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม โรงเรียนของเขาก็ถูกปิดล็อคอย่างแน่นหนา ไม่ให้มีการเข้าออก เพราะอยู่ติดกันกับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน อันเป็นจุดที่มีการปะทะกันในเช้าวันที่ 14 ตุลาคมนั้น เขาจำได้ว่าพ่อขับรถเข้ามาในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วอ้อนวอนทางโรงเรียน จึงสามารถพาตัวเขาออกมาได้ แต่พออาทิตย์ต่อมาก็ต้องกลับเข้ามาเรียน แม้ชีวิตต่อจากนั้นจะดำเนินไปตามปกติ แต่เขาก็เริ่มคิดแล้วว่าชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่าการเรียนในห้องเรียน เขาสนใจที่จะติดตามข่าวคราวของโลกภายนอก เขาอ่านหนังสือพิมพ์เป็นประจำ บ่อยครั้งจะแอบติดสินบนภารโรงให้เปลี่ยนช่องโทรทัศน์บนโรงอาหารเป็นรายการข่าว รวมทั้งที่ในเวลาปิดเทอมที่เขาได้กลับไปบ้าน เขาก็จะนอนดูโทรทัศน์กับพ่อเขาเป็นประจำ ซึ่งรายการที่พ่อของเขาชอบดูมากก็คือข่าวต่าง ๆ นั่นเอง

สมัยนั้นแต่ละบ้านจะมีโทรทัศน์อย่างมากก็แค่เครื่องเดียวและยังเป็นขาวดำ พ่อกับแม่จะแบ่งเวลาดูกัน โดยพ่อจะขอดูเวลาที่มีข่าว ส่วนแม่ก็จะดูเวลาที่มีหนังและละคร ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ในเวลาบ่าย ๆ จะมีการถ่ายทอดมวย พ่อจะเอาโทรทัศน์ออกมาตั้งหน้าห้องแถว ให้คนงานและผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้ดูมวยนั้นด้วย ส่วนในเวลาที่โทรทัศน์อยู่ในบ้าน ที่บริเวณหน้าบ้านนั้นก็จะมีคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งมาเกาะขอบหน้าต่างร่วมชมโทรทัศน์อยู่ด้วยทุกค่ำคืน จนตอนหลังที่พ่อปลูกบ้านขึ้นตรงที่ดินข้างหลังตึกแถว จึงได้มีความเป็นส่วนตัวและปลอดโล่งจากการที่มีคนมารุมดูทั้งคนทั้งโทรทัศน์ในบ้านของเราเองนั้น

พ่อเป็นคนที่ชอบแสดงความคิดเห็น เช่นเดียวกันกับแม่ แต่เป็นในคนละเรื่องและคนละมุมมอง โดยพ่อจะชอบวิจารณ์ข่าว ส่วนแม่จะวิจารณ์ละคร แต่ถ้าทั้งสองคนดูรายการเดียวกัน บ่อยครั้งก็จะ “ทะเลาะ” กันเสมอ ๆ เพราะมักจะเห็นแย้งและพูดขัดคอกันอยู่เป็นประจำ แต่ดูเหมือนทุกเรื่องก็จะจบลงด้วยดี คือถ้าไม่เห็นด้วยกัน พ่อจะเป็นฝ่ายยอมแม่อยู่ตลอด กงกริชเคยถามพ่อว่าทำไมต้องยอมแม่ทั้งที่บางทีแม่ก็พูดไม่ได้เรื่อง พ่อก็บอกเบา ๆ ว่า เอาชนะผู้หญิงไม่ได้หรอก เพราะผู้หญิงถ้าจะให้มาชกต่อยกับผู้ชายก็สู้ผู้ชายไม่ได้ โอกาสเดียวที่เธอจะชนะผู้ชายก็เรื่อง “เถียงกัน” นี่แหละ ลักษณะนิสัยอย่างนี้นี่เองที่ติดตัวเขามาในตอนที่มีอาชีพในทางวิชาการ เพราะนักวิชาการต้องเถียงกันด้วยเหตุและผล แต่ที่สำคัญจะต้องหาข้อสรุปหรือทางออกร่วมกันให้ได้ โดยไม่ใช้ความรุนแรงหรืออาฆาตบาดหมางกัน ยังเป็นมิตรกันและอยู่ด้วยกันได้ต่อไป

ในตอนที่เขาขึ้นเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในเดือนตุลาคม 2519 เขาได้ติดตามข่าวนักศึกษาชุมนุมประท้วงกรณีอดีตทรราชที่บวชเป็นเณรแล้วขอเข้ามายังประเทศไทย ต่อมาทหารและตำรวจก็ส่งกำลังเข้าปิดล้อมและสลายการชุมนุมในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง แต่สภาพการตายนั่นสยดสยองน่าสมเพชอย่างที่สุด รวมถึงการกวาดต้อนนักศึกษาและผู้ชุมนุมก็ทำอย่างทุเรศทารุณ เขาได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมโรงเรียนหลายคน บางคนก็บอกว่าสมน้ำหน้าพวกคอมมิวนิสต์ รกโลก ตายให้หมดเสียได้ก็ดี บางคนก็บอกว่าเขาก็คนเหมือนกัน เพียงแต่มีความคิดเห็นแตกต่าง ทำไมต้องฆ่าฟัน ทำประจานให้ทุเรศอย่างนั้นด้วย ซึ่งกงกริชมีความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางฝ่ายหลัง และเกิดความสนใจว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร พอกลับบ้านเขาเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพ่อ พ่อก็ดึงตัวเขาไปคุยแบบเงียบ ๆ บอกว่าอย่าคุยเรื่องนี้ให้คนอื่นได้ยิน ตอนนี้(พ.ศ. 2519)ทางการกำลังจับตาดูคนที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์ มีนักศึกษาหนีเข้าป่าหลายคน จำนวนมากมาอยู่ทางภาคอีสานนี่แหละ นักศึกษาพวกนี้น่าสงสาร ไม่รู้ว่าจะได้กลับคืนบ้านช่องเมื่อไร

ตอนที่เขาสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เขาไม่ได้ปรึกษาทางบ้านกับพ่อและแม่ว่าอยากให้เขาเรียนอะไร เพราะพ่อกับแม่บอกว่าให้เขาเลือกเรียนอะไรก็ได้ แต่ถ้าเอามาช่วยงานทางบ้านได้ก็จะดีมาก และถ้าจะให้ดีก็อยากให้มีลูกสักคนได้เป็นข้าราชการ เขาเองก็ไม่ชอบงานราชการนัก ที่สุดเขาก็เลือกสอบเข้าในกลุ่มวิชาที่ใช้วิชาคำนวณในการสอบเข้าเป็นหลัก โดยเลือกคณะเศรษฐศาสตร์ในหลาย ๆ มหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็สามารถสอบเข้าได้ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเขาไปบอกพ่อกับแม่ แม่ก็ถามแค่ว่าจบแล้วจะไปทำงานอะไร เขาก็ตอบแบบขำ ๆ ว่า “ไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง” ซึ่งแม่ทำหน้างง ๆ ส่วนพ่อก็หัวเราะเสียงดัง

แม้เขาจะไม่ได้เป็นรัฐมนตรีคลังตามที่พูดเล่น ๆ นั้นไว้ แต่เขาก็ได้สอนคนให้ไปทำงานที่กระทรวงการคลังนั้นเป็นจำนวนมาก รวมถึงสอนผู้นำคอมมิวนิสต์บางคนที่หนีเข้าป่าไปนั้นด้วย