"เลขาฯกกต." มอง ปมม.151 “พิธา” ถือหุ้นสื่อ ซับซ้อน โยนเป็นอำนาจคกก.ไต่สวน ชี้ ม.82 หากกกต. เห็นส่งศาลวินิจฉัยได้เลย พร้อมประกอบ 2 สำนวนอาญา-สิ้นสภาพขาดคุณสมบัติ หลังรับหลักฐานจาก “ส.ว.” เตรียมเพิ่ม นโยบายยกเลิก “ม.112” 

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 29 มิ.ย. 66 ณ ห้องมิราเคิล แกรนด์เอบี ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง รายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งส.ส. รุ่นที่ 1 ถึงความคืบหน้าในการแจ้งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เข้าชี้แจงในกรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี ว่า เรื่องนี้มีความซับซ้อน โดยเฉพาะตัวกฎหมาย เนื่องจากมีพื้นฐานมาจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครส.ส แต่เมื่อมาปรับใช้กับเหตุการณ์สามารถดำเนินการได้หลายวิธี โดยเงื่อนไขแรกห้วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง คือการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ตามกระบวนการจะต้องส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา โดยจะเชิญผู้สมัครมาชี้แจงหรือไม่มาชี้แจงก็ได้ ซึ่งมี 37 คดีที่ศาลได้วินิจฉัยแล้ว 

เงื่อนไขที่ 2 หลังการเลือกตั้ง กรณีที่เห็นว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามจะดำเนินการตามมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งเป็นการดำเนินคดีอาญา ซึ่งจะต้องแจ้งให้กับผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจง โดยการดำเนินการจะต้องดูเอกสารหลักฐานอย่างครบถ้วนปราศจากข้อสงสัย แล้วดูเจตนาประกอบด้วย ส่วนเงื่อนไขหลังประกาศรับรองผลการเลือกตั้งวิธีการคือตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งกรณีนี้จะเชิญผู้ที่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นส.ส.มาชี้แจงหรือไม่ก็ได้ หากกกต.มีหลักฐานหรือเห็นเป็นความปรากฏ ซึ่งในชั้นนี้ผู้ที่สามารถวินิจฉัยได้คือศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่กกต.

นายแสวง กล่าวว่า ส่วนจะมีการเชิญนายพิธา มาชี้แจงหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนที่กกต.ตั้งขึ้น ว่าจะพิจารณาให้มาชี้แจงให้ข้อมูลหรือไม่ แต่ถ้าดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะเชิญหรือไม่เชิญมาก็ได้ หากมีหลักฐานเพียงพอที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่า กกต.จะเชิญนายพิธา เข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายแสวง กล่าวว่า  ยืนยันว่าเป็นอำนาจของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน  เบื้องต้นคณะกรรมการสืบสวนยังไม่รายงานรายละเอียดการดำเนินการตรวจสอบให้กกต.พิจารณา จนกว่าจะสืบสวนเสร็จ เนื่องจากกกต.และสำนักงานไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายและแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการสืบสวนได้ ทั้งการตั้งรูปเรื่องการหาพยานเอกสารโดยกรอบการพิจารณา 20 วันแรกจะครบกำหนดกรอบแรกในวันที่ 3 ก.ค. แต่หากพิจารณาไม่เสร็จสามารถยื่นขอขยายเวลาดำเนินการอีก 15 วันผ่านเลขาธิการกกต. เบื้องต้นยังไม่เห็นว่ามีการยื่นหนังสือขอขยายเวลาตรวจสอบ

เมื่อถามว่ากกต.ได้มีการพิจารณายื่นศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 บ้างแล้วหรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ก่อนที่กกต.จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ สิ่งสำคัญกกต.ต้องเห็นก่อนแต่ยังไม่ใช่การวินิจฉัย เพียงเห็นว่ามีข้อมูลเพียงพอเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ซึ่งอาจใช้ข้อมูลจากคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนก็ได้ หรืออาจตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูเรื่องนี้โดยเฉพาะก็ได้ แต่ให้แยกว่าเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ใช่การแจ้งข้อกล่าวหา เบื้องต้นขณะนี้มีผู้มายื่นร้องให้กกต.ดำเนินการตามมาตรา 82 แล้วดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมกกต.ว่าจะใช้วิธีการดำเนินการอย่างไรเพราะเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งจะแตกต่างจากระเบียบสืบสวนไต่สวน

เมื่อถามจะต้องมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในกรณีดังกล่าวก่อนการโหวตเลือกนายกฯหรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า เมื่อกกต.เห็นจะต้องมีการประชุมอย่างแน่นอน แต่ท่านจะต้องดูว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานแค่ไหน เพียงพอที่จะส่งให้ศาลวินิจฉัยได้หรือไม่ ต้องมีพยานหลักฐานและต้องเห็นด้วย ส่วนจะต้องยื่นให้ศาลพิจารณาก่อนการโหวตนายกฯนั้นไม่เกี่ยวกับประเด็นที่กกต.ที่จะต้องมาพิจารณา 

เมื่อถามย้ำอีกว่า กระบวนการทุกอย่างจะต้องแล้วเสร็จภายในเดือนก.ค.หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า สำนักงานกกต.ทำงานตามเวลาที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นกรณีการตรวจสอบตามมาตรา 151 ซึ่งต้องหาพยานหลักฐานให้ครบถ้วนรวมทั้งดูเจตนาด้วย เพราะเป็นคดีอาญา ส่วนรัฐธรรมนูญมาตรา 82 กกต.ประกาศรับรองผลได้เพียง 1 สัปดาห์และเมื่อมีผู้มายื่นร้องกกต.ก็คงจะพิจารณา 

เมื่อถามว่านายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภาเข้าหารือเข้ามอบหลักฐานกับกกต.กรณีนายพิธา เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายแสวง ว่าท่านไม่ได้มาตามเรื่องพิธา แต่ท่านได้มาพูดเรื่องการเมือง การเลือกตั้งเกิดปัญหาต้องการการสนับสนุนอย่างไรบ้างและได้นำหลักฐานประกอบคดีหุ้นนายพิธามามอบให้ ซึ่งจากนี้ สำนักงานกกต.ก็จะนำหลักฐานไปประกอบการพิจารณาคดีทั้งกรณีรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติแต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 และรัฐธรรมนูญมาตรา 82 กรณีสงสัยคุณสมบัติของส.ส.จะต้องมีการเข้าชื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีมาตรา 82 นั้นมีคนร้องเข้ามาแล้ว แต่ขณะนี้ ทางสำนักงานยังไม่ได้สรุปเรื่องส่งคณะกรรมการ อย่างไรก็ตาม นายแสวงได้เลี่ยงการตอบคำถาม ว่าเหตุใดกรณีนี้ถึงใช้เวลานาน  

เมื่อถามว่า กรณีของนายพิธา กกต.สามารถดำเนินการกรณี “ความปรากฏต่อกกต.” ได้หรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า ไม่ต้องมีความปรากฏเลย โช๊ะเลย แต่ต้องมีหลักฐาน กกต.ไม่ใช่ผู้ตัดสิน ก่อนเลือกตั้งจะต้องส่งให้ศาลฎีกา ถ้าไม่ได้รับการเลือกตั้งก็อยู่ในชั้นศาลยุติธรรม ส่วนได้รับเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกกต.เป็นคนฟ้องว่าข้อมูลหลัก เหตุเพียงพอให้ฟ้องหรือไม่ ก็เหมือนกับกรณีส่งศาลฎีกาพิจารณากรณี 37 ผู้สมัคร ส.ส. ไม่ต้องเชิญใครมาชี้แจงซึ่งถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อเห็นว่าพอฟ้อง มีหลักฐานก็ฟ้อง แต่ตอนนี้กกต.ยังไม่เห็น แต่กรณี 37 ผู้สมัครส.ส.นั้นกกต.เห็นแล้วก็ส่งศาลฎีกา โดยไม่ได้เชิญใครมาชี้แจง แต่กรณีการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 เป็นระเบียบสืบสวนหากมีการกล่าวหาก็ต้องเชิญผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง 

นายแสวง ยังกล่าวถึงกรณี ก่อนหน้านี้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นไม่รับคำร้องยุบพรรคก้าวไกลจากเหตุมีนโยบายหาเสียงแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับสั่งอัยการสูงสุดชี้แจงว่ารับหรือไม่รับคำร้องของผู้ที่ยื่นร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า  ในชั้นของกฎหมายพรรค เราจะพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีอำนาจให้พรรคกระทำหรือไม่ และกระทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดหรือไม่  ซึ่งเขียนต่างจากรัฐธรรมนูญ  แต่ถ้ามีผู้เห็นว่าการกระทำนั้นใช้สิทธิเสรีภาพ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทำให้เป็นการล้มล้างระบบการปกครอง ต้องไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง จึงเป็นคนละขั้นตอนกัน และแม้นายทะเบียนพรรคการเมืองจะมีความเห็นไม่รับคำร้องกรณีดังกล่าวไปแล้ว แต่ขณะนี้นายทะเบียนฯก็ได้ให้สำนักงานฯไปตรวจสอบเพิ่มเติมว่าการกระทำตามคำร้องนั้น ๆ เป็นความผิดฐานไหนอีกหรือไม่ตามกฎหมายพรรค ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นฐานความผิดใดได้อีก ขอตรวจสอบก่อน