สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ หน่วยงานเจรจาหลักด้านมาตรการสุขออนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures: SPS) บรรลุความสำเร็จการเจรจาข้อบท SPS ภายใต้ตกลงการค้าเสรีศรีลังกา-ไทย (SLTFTA)
วันที่ 27 มิ.ย.66 นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นายปราการ วีรกุล ที่ปรึกษาสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติเป็นประธานการประชุมคณะทำงานด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Working group on Sanitary and Phytosanitary Measure: WG - SPS) ครั้งที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีศรีลังกา-ไทย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อเจรจาข้อบท SPS โดยการเจรจาร่างข้อบท SPS กับฝ่ายศรีลังกาในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ข้อสรุปร่วมกันในทุกมาตราของข้อบท SPS ซึ่งประกอบไปด้วย 17 มาตรา มุ่งเน้นการขจัดอุปสรรคทางการค้า เพิ่มความโปร่งใส และแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับหลักสากล รวมถึงสถาปนาความร่วมมือทางวิชาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงตลาด และส่งเสริมการค้าสินค้าที่มีความปลอดภัยระหว่างกัน
ความสำเร็จในครั้งนี้ให้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการการอำนวยความสะดวกทางการค้าลดผลกระทบทางการค้าที่เกิดจากการใช้มาตรการ SPS อันปูทางไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางการค้า ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ และที่สำคัญเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแผนการเจรจาของประเทศ ที่คาดว่าจะลงนามความตกลง SLFTA ร่วมกันอย่างเป็นทางการภายในปี 2024 ข้อตกลงสำคัญนี้ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ โดยไทยพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่สำคัญจากความสัมพันธ์ทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ในฐานะหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยยืนหยัดที่จะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคสินค้าเกษตรของศรีลังกาที่มีมากกว่า 20 ล้านคน เช่นเดียวกันกับ ศรีลังกาที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้ด้วยการเพิ่มความร่วมมือทางการค้ากับไทย โดยสามารถใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในภาคส่วนต่าง ๆ อันจะผลักดันศักยภาพสำหรับธุรกิจในศรีลังกาในการเปิดช่องทางใหม่สำหรับการเติบโต และการขยายตัวต่อไป
บทสรุปที่ประสบความสำเร็จของการเจรจาข้อบทด้านมาตรการ SPS ภายใต้ SLTFTA แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งไทยและศรีลังกาในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ข้อตกลงสำคัญนี้ไม่เพียงส่งเสริมการค้าทวิภาคี แต่ยังส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย นำมาซึ่งข้อพิสูจน์ถึงพลังของความร่วมมือซึ่งกันและกัน อันเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตและการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต