นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชนได้โพสต์ผ่านเพจเฟสบุ๊ค"Jatuporn Prompan" ว่า
“จตุพร” เปิด 3 แผน 3 ช่วงสถานการณ์ก่อปัญหาดัน “ประวิตร” เป็นนายกฯ ตามความอยากได้อำนาจ เชื่อ “พิธา-ก้าวไกล” ถูกเพื่อไทยตบตาเล่นละครหักหลัง หวั่นมวลชนก่อหวอดลงถนน ชุมนุมไร้รูปแบบ เคลื่อนตัวโกลาหลทั่ว ปท. เตือนหลงอำนาจพาพาบ้านเมืองสู่ปากเหววิกฤต สิ้นทางรับมือฉุดบ้านเมืองอับตัน ดิ่งเหว
เมื่อ 26 มิ.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "หลงอำนาจ..." ว่า การออกแบบแผนการขึ้นสู่อำนาจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ด้วยการก่อปัญหา สร้างความวุ่นวายทางการเมือง จะนำประเทศสู่วิกฤต ประชาชนก่อหวอดชุมนุมโกลาหลจนยากจะรับมือไหว
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้พัวพันกันอยู่ 3 กรณี คือ หนึ่งนายสุชาติ ตันเจริญ ต้องการเป็นประธานสภา สอง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อยากมีอำนาจนายกฯ และสามทักษิณ ชินวัตร เร่งรุกกลับไทย พร้อมได้โอกาสให้แช่แข็งคดีต่างๆ ในอดีตเอาไว้ก่อนได้ เพื่อแลกกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทยอยมาสมทบก่อปัญหาในการโหวตลับเลือกประธานสภา
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามสถานการณ์การเมืองนั้น เมื่อคลี่ปฏิทินสามารถเห็นปัญหาความวุ่นวายได้ใน 3 ช่วงเช่นกัน คือ ช่วงแรก 4-13 ก.ค.ในสถานการณ์เลือกประธานสภา ช่วงที่สอง 14-26 ก.ค.ช่วงเลือกนายกฯ และช่วงหลังจาก 26 ก.ค. เป็นเวลารัฐบาลใหม่แถลงนโยบายและทำหน้าที่ ประกอบกับทักษิณ จะตัดสินใจกลับบ้าน ถึงที่สุดทั้งสถานการณ์ในแต่ละช่วงล้วนเป็นปัญหาประกอบสร้างความวุ่นวายทั้งสิ้น
นายจตุพร ประเมินว่า ในทางการเมืองแล้ว ผู้แสดงทั้ง 3 กรณีนั้น ล้วนดำรงความมุ่งหมายจะให้เกิดปัญหา เพื่อนำไปสู่ความวุ่นวายขึ้น เพราะปัญหาการเลือกประธานสภา จะกระตุ้นอารมณ์มวลชนไม่พอใจ เมื่อตอกย้ำการเลือกนายกฯ ที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของพรรคอันดับหนึ่งแล้ว มวลชนยิ่งเดือดดาล อาจก่อหวอดชุมนุนลงถนนได้อย่างง่ายดาย
"ในตำแหน่วงประธานสภา ถ้าไม่มีเรื่องขึ้น มันก็ไม่เปิดโอกาสให้ พล.อ.ประวิตร มาก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะทั้งหมดเป็นกลเกม แต่หากพรรคก้าวไกลพลิกเกมยกประธานสภาให้พรรคเพื่อไทย ย่อมจะไม่เข้าแผนก่อปัญหา คือ ได้เพียงบรรลุแผนแรก แต่ไม่ไปถึงแผนสองการเลือกนายกฯ"
พร้อมทั้ง ประเมินว่า การเดินเกมเพื่อเข้าไปสู่ตำแหน่งนายกฯนั้น การประชุมวันที่ 28 มิ.ย.นี้ในระดับแกนนำพรรคเพื่อไทยจะยังประกาศมอบประธานสภาให้พรรคก้าวไกล ส่วนสมาชิกพรรคเพื่อไทยจะเห็นต่างกันออกไป ซึ่งเป็นการแบ่งบทกันแสดงเพื่อก่อปัญหาตบตาในวันเลือกประธานสภา
ดังนั้น 4 ก.ค. วันโหวตลับเลือกประธานสภา ตามแผนการออกแบบไว้ จะมีการเสนอชื่อนายสุชาติ เข้าแข่งชิงด้วย ซึ่งปัญหาจะตามมาคือ งูเห่าจากพรรคเพื่อไทยจะเลื้อยมาเทเสียงให้นายสุชาติ ชนิดหักหน้าพรรคก้าวไกล แสดงถึงเกิดปัญหาหักหลังกันขึ้น และแผนก่อความวุ่นวายในสภาจะลุกลามไปถึงแผนสองช่วงการเลือกนายกฯ ในวันที่ 13 ก.ค.ทันที
อีกทั้ง คาดว่า การได้นายสุชาติ เป็นประธานสภานั้น ความวุ่นวายจะบังเกิดขึ้น ประชาชนเริ่มชุมนุมระบายความคับแค้นพลุ่งพล่านออกมาอย่างไร้รูปแบบ แม้ในภาพด้านเปิดจะไม่มีการจัดระบบการชุมนุม แต่การสั่งการด้านปิดกลับจัดการเบื้องหลังได้เป็นระบบ สิ่งสำคัญมวลชนจะนำพรรค ขณะที่พรรคไม่กล้าปฏิเสธมวลชนหรือขัดใจมวลชน ซึ่งความโกลาหลจะยิ่งก่อตัวสะสมมากขึ้น
"สถานการณ์หลังวันที่ 4 ก.ค.ไปถึง 13 ก.ค.วันเลือกนายกฯ จะเกิดความวุ่นวายลุกลาม และไม่มีใครจะระบุความรุนแรงถึงขนาดไหนได้ หากเหตุการณ์วันที่ 13 ก.ค.เลือกนายกฯ มีการเสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และมี พล.อ.ประวิตร ประกบแข่งขัน ถ้าได้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ มาก้าวข้ามความขัดแย้งแล้ว ความวุ่นวายจะก่อตัวโกลาหล ไร้รูปแบบชุมนุมและส่อรุนแรงขึ้น”
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อได้นายกฯ ใหม่แล้ว รัฐบาลใหม่จะได้เริ่มงานประมาณวันที่ 25-26 ก.ค. ตรงกับวันเกิดทักษิณ แล้วนำไปสู่แผนสามที่มีทักษิณ มาพัวพันด้วย โดยต้องตัดสินใจกลับบ้านในสถานการณ์ที่เป็นปัญหานี้ สิ่งสำคัญ พล.อ.ประวิตร จะรับสถานการณ์ได้หรือไม่ ส่วนการประเมินทางการเมืองนั้น เน้นเพียงการออกแบบกลเกมการเมือง แต่ตัดขาดความเป็นมนุษย์และความต้องการที่หลงอำนาจและผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก
อีกทั้งเห็นว่า ในทางการเมืองนั้น สิ่งที่ดักทางไม่ได้คือ ความหลง ความอยากได้อำนาจของมนุษย์ ยิ่งหากนายสุชาติ ได้เป็นประธานสภาแล้ว ต่อไปย่อมได้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ ส่วนนายพิธา โอกาสจะได้ 376 เสียงผ่านการเป็นนายกฯ จึงเป็นไปไม่ได้เลย แม้ใน 8 พรรคร่วม MOU รวมได้ 312 เสียง แต่เบื้องลึกไม่เป็นเอกภาพ ล้วนแสดงละครตบตา หาคนจริงจังกับนายพิธา มีน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ประเมินว่า หลังจากได้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ แล้ว พรรค MOU อาจจะเหลือแต่ชื่อพรรค ส่วน ส.ส.จะทยอยเข้าร่วมสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ค่อนข้างมาก เนื่องจากเกมการเมืองก่อวุ่นวายครั้งนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อพรรคมาร่วมก่อหวอดด้วย แต่เป็นการแตกตัวของ ส.ส.ที่เรียกเป็นงูเห่ามาเข้าข้าง พล.อ.ประวิตร ดังนั้น ความเสียหายจะเกิดขึ้นเฉพาะตัวของ ส.ส. ส่วนพรรคยังคงอยู่รอด พอประคับประคองตัวในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการเช็คบิลเอาคืน
"ปรากฎการณ์ทางการเมืองแบบนี้จะสร้างความวุ่นวายต่อเนื่องขึ้น แทบหาความสงบราบรื่นไม่ได้เลย แต่อย่าลืมว่า ในสองช่วงเวลาคือ ตั้งแต่เลือกประธานสภาถึงเลือกนายกฯ และเลือกนายกฯ ไปถึงการแถลงนโยบายรัฐบาลใหม่ ยังอยู่ในอำนาจจัดการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไปพ้นตำแหน่งในวันที่รัฐบาลใหม่เข้าทำหน้าที่ ซึ่งเป็นวันเกิดทักษิณ เช่นกัน อะไรมันจะมาประจวบเหมาะกันเช่นนั้น"
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อเกิดความวุ่นวายในสถานการณ์หักหลังทางการเมืองกันแล้ว ย่อมลามไปสัมพันธ์กับประเด็น ม.112 ซึ่งอีกฝ่ายจะออกมาเผชิญหน้า กลายเป็นสองทัพมวลชนลงสู่ถนนในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นนายกฯ รักษาการอยู่
ดังนั้น โอกาสมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะเกิดขึ้นมาจัดการความวุ่นวาย สิ่งนี้จะเกี่ยวพันกับการเปิดสภาแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลำบากขึ้น และมีโอกาสยืดวันเวลาการทำหน้าที่ของรัฐบาลออกไปได้ ดังนั้น หนทางการประกาศกฎอัยการศึกย่อมจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน การพูดเรื่องนี้เพื่อให้คนหลงในอำนาจทั้งหลาย ให้คิดกันดีๆ
รวมทั้ง คาดว่า เมื่อสถานการณ์นำพาไปสู่ความแตกแยกที่สูงขึ้น ปัญหาคือ พล.อ.ประวิตร จะก้าวข้ามไปได้หรือไม่ ดังนั้น สิ่งนี้จึงต้องดึงสติของ พล.อ.ประวิตร และฝ่ายนักคิดออกแบบแผนวางเกมให้เกิดการเลือกนายกฯ เพื่อ พล.อ.ประวิตและทักษิณ ได้กลับบ้านนั้น มันจะคุ้มค่ากับบ้านเมืองหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากยึดเอาแต่การหลงตัวเอง ต้องการได้แต่อำนาจและผลประโยชน์ตามความอยากของมนุษย์แล้ว ย่อมเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ เมื่อผสมกับปัจจัยภายนอกประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยิ่งถมทับกำแพงปัญหาให้สูงลิบจน พล.อ.ประวิตร จะยากต่อการก้าวข้ามได้
"ในสถานการณ์แบบนี้ จะเลยวาระของพรรคการเมืองเข้ามาจัดการได้ นอกจากประชาขนที่มีใจเป็นธรรม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการร่วมวางแผนการหลงอำนาจตามความอยากของมนุษย์ ดังนั้น ความหายนะต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากแผนที่ออกแบบไว้ ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องเตรียมรับมือความชุลมุน เกิดความวุ่นวาย โกลาหลรอบทิศทางของประชาชนที่ไร้รูปแบบการชุมนุมกันไว้ก็แล้วกัน"
ประเทศไทยต้องมาก่อน