วันที่ 26 มิ.ย. 66 ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีจะมีการเสนอให้ เปลี่ยนวันชาติเป็นวันที่ 24 มิ.ย. ว่า จริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงมานาน พอเรื่องนี้เป็นประเด็นช่วงนี้ จึงกลายเป็นในทางมุ่งหมายทางการเมืองที่ต้องการใช้ทุกเรื่องสร้างประเด็นหรือด้อยค่าพรรคก้าวไกล หวังว่ากระบวนการดังกล่าวจะทำให้พรรคก้าวไกล ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในเรื่องวันชาติเป็นประเด็นที่หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ดีๆ วันชาติก็คือวันที่ 24 มิ.ย. หลังจากนั้น ก็มีการรัฐประหารขึ้น และมีการเปลี่ยนวันชาติ สิ่งที่ตนกล่าวก็ไม่ได้แตกต่างจากหลายคนที่เป็นนักประวัติศาสตร์พูด แต่แน่นอนว่าเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาในการพูดคุย และจะทำได้จริงหรือไม่ ต้องมีการพูดคุยกันในสังคม ไม่ใช่วาระที่ต้องพูดคุยกันในเร็วๆ นี้ ในระยะสั้น พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญในการเตรียมนโยบายรวมไปถึงการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล และทำนโยบายต่างๆ ที่เราได้สัญญาไว้กับประชาชน
เมื่อถามว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นความเห็นส่วนตัวหรือความเห็นพรรค นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ยังไม่มีการคุยกันในพรรค การพูดของตนในงานเสวนาเป็นการพูดในเรื่องของประวัติศาสตร์ และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีต แน่นอนว่าเป็นมุมมองส่วนตัว
เมื่อถามว่า เรื่องนี้อาจถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลให้สมาชิกวุฒิสภา ไม่โหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องคุยกันว่า เราจะจัดตั้งรัฐบาลเพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนที่ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้อย่างไร และหากเราจัดตั้งรัฐบาลได้ สุดท้ายเราบริหารประเทศไปแล้ว ประชาชนชื่นชอบ หรือเห็นด้วยอย่างไร ก็เป็นเรื่องของประชาชน สิ่งที่เราคาดหวังคือ ในปี 2562 มีการพูดว่าส.ว.ที่โหวตสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ สามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร เราจึงหวังว่า หากใช้มาตรฐานนี้ในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ก็ควรจะเดินต่อไปได้ ซึ่งตอนนี้เรามองไปถึงการโหวตประธานสภาฯก่อน ซึ่งในวันที่ 4 ก.ค.นี้ เราจะทราบถึงผลมติโหวตประธานสภาฯ ว่าเป็นอย่างไร