ความสำคัญของเมืองแกลง จะเกี่ยวเนื่องไปถึงเมืองประแส และปากแม่น้ำประแส ฯลฯ เป็นแหล่งชุมขนเก่าโบราณมี คนพื้นเมืองดั้งเดิม (ชอง, มลายู ฯลฯ)
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ซ่องสุมผู้คนกองกำลังของผู้นำท้องถิ่น มาตั้งแต่ก่อนกรุงแตก แล้วร่วมกันแข็งข้อต่อต้านพระเจ้าตากที่ออกไปจากอยุธยา
พระเจ้าตากฯ เมื่อรวบรวมผู้คนอยู่เมืองระยอง ได้ยกไพร่พลไปปราบปรามสำเร็จ จับได้คนมีฝีมือกลุ่มหนึ่ง มีชื่อในพระราชพงศาวดารว่า นายบุญมี บางเหี้ย, นายแทน, นายมี, นายเมืองพม่า, นายสนหมอ กับบุตรชื่อนายบุญมี ฯลฯ
บุคคลสำคัญในปลายกรุงศรีอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ คือสมเด็จพระสังฆราชชื่น สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช หลังกรุงแตกพระเจ้ากรุงธนบุรีต้องการแสดงพระองค์เป็นจักรพรรดิราชฝึกฟื้นใจเมืองแผ่นดินเป็นพุทธบูชา จึงได้นิมนต์ พระครูชื่น จากเมืองแกลงมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหงรัตนารามยกย่องจนได้เป็น สมเด็จพระสังฆราชพระองค์สุดท้ายของกรุงธนบุรี
ข้อมูลหลักฐานเหล่านี้มีมากมายอยู่ในหนังสือ การเมืองสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่มีตัวละครที่มีตัวตนจริงก่อนและกรุงแตกว่าขุนนางกลุ่มไหนบ้างเลือกข้างไปกับใครบ้าง รวมทั้งสาแหรกข้างพ่อแม่สุนทรภู่ ที่เหนี่ยวแน่นอยู่กับสายพ่อกรมพระราชวังหลัง พี่เขยรัชกาลที่ 1
เรื่องพ่อสุนทรภู่ ตัวสุนทรภู่ และสมเด็จพระสังฆราชชื่น ตรงนี้ที่ ทางจังหวัดระยองควรภาคภูมิใจและไม่ควรละเลย ซึ่งจะขายความรู้การท่องเที่ยวควบคู่กับอนุสาวรีย์สุนทรภู่ ซึ่งเป็นชาวบางกอก ที่บิดาบวชเป็นพระและถูกส่งมาเป็นสมภารครองวัดบ้านกร่ำด้วยเหตุผลทางการเมือง
หากเข้าใจตรงนี้ ก็จะเห็นภาพประวัติศาสตร์กู้บ้านเมืองของพระเจ้ากรุงธนบุรีจนทาถึงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่อำนาจวังหลวง, วังหน้า และวังหลัง มีอำนาจกึ่งพระนคร โดยเฉพาะขอบเขตของวังหลังที่ควบคุมหัวเมืองชายทะเล
เหตุที่พ่อสุนทรภู่มาบวชเและถูกส่งนิมนต์มาอยู่เมืองแกลง ต้องเข้าใจก่อน พระสงฆ์ถูกห้ามเกี่ยวข้องทางการเมืองโดยตรงเริ่มขึ้นจริงขังสมัย ร.4 ในยุคต้นกรุงธนบุรี บ้านเมืองยังไม่ราบคาบและผู้นำท้องถิ่น 2 คน ขุนรามกับหมื่นซ่อง เป็นกรมการเมืองระยอง (ที่มีหลายคน) หนีรอดไปอยู่กับพระยาจันทบูร เจ้าเมืองจันทบุรี ด้วยพระเจ้าตากยกไปตีได้เมืองจันทบุรี พระยาจันทบูรหนีไปอยู่เมืองพุทไธมาศ (เวียดนาม) ส่วนขุนรามกับหมื่นซ่องไร้ร่องรอยชื่อหายจากพงศาวดาร โดยไม่บอกว่าตาย หรือหนีไปอยู่ไหน? นี่แหละทำไม พ่อสุนทรภู่ อดีตนายทหารคนสำคัญของกรมพระราชวังหลังต้องมาบวชและมาอยู่เมืองแกลง จนกระทั่ง สุนทรภู่ได้รับคำสั่งให้มาราชการตามที่เขียนไว้ในนิราศเมืองแกลงว่าต้องเดินทางลำบากจึงพึมพำรำพันเป็นกลอนในนิราศเมืองแกลงว่า
“จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา”
อนึ่ง ประวัติสุนทรภู่ ทั้งหมดทั้งมวลที่ใช้กันนั้นล้วนมาจากพระนิพนธ์ใน สมเด็จฯ กรมดำราชานุภาพ เป็นข้อมูลเบื้องและมาจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ นายตำรา เมืองใต้,นายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์, หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี หรือนามปากกา พ.ณ ประมวญมารคก็ต่างใช้ข้อเขียนของพระบิดาประวัติศาสตร์ไทยเป็นหลักฐานชั้นต้น แล้วตีความตามหลักฐานที่มีมาเพิ่มเติม
แต่ต้องเข้าใจก่อนว่ายุคนั้นที่ทรงพระนิพนธ์เรียบเรียงด้วยเงื่อนไขหลักฐานที่จำกัดและพระองค์ก็ไม่ได้บังคับให้เชื่อถือไปทั้งหมด ในเบื้องหน้าที่มีหลักเพิ่มเติม เพรสะยุคนั้นกลอนในสมุดไทยแทบจะเหมารวมว่าเป็นผลงานสุรทรภู่แทบทั้งสิ้น จนกระทั่งซึ่งหลักฐานต่างๆ ค่อยเพิ่มเติมมาเรื่อยในยุคที่ข่าวสารเปิดกว้าง และเทียบเคียงถึงชี้ได้ว่าสำนวนไหนไม่ใช่ และทำความใจใหม่ด้วยหลักแวดล้อม โดยเฉพาะประวัติสุนทรภู่ที่ต้องอ้างอิงจากงานเขียนเจ้าของประวัติ ไม่ใช่อ้างว่าอนุมานเอาเอง
หากทางจังหวัดระยอง ขายการท่องเที่ยวความภาคภูมิใจเกี่ยวกับ สังฆราชชื่น เส้นทางทัพพระเจ้าตากสินมหาราช และเส้นทางนิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ ตามหลักฐานมีจริงมิใข่อ้างอนุมานว่าคนท้องถิ่นเชื่อว่าเป็นคนที่นี่ ทั้ง ๆ ที่หลักฐานมีอยู่ว่า สุนทรภู่ เกิดที่ไหนมีโคตรญาติเป็นใครมาจากไหน จากคำบอกเล่าหลักฐานขั้นต้นในนิราศทุกเรื่องที่สุนทรภู่ให้การไว้เอง ความรู้ความเข้าใจก็จะกระจ่างสว่างใสด้วยฐานความรู้มากกว่าฐานความรู้สึก
เรื่องราวของ สุนทรภู่ เกี่ยวข้องการเมืองระหว่างราชธานีกับเมืองแกลงที่ยังขบไม่แตกอีกมากและจะเป็นปัญหาของการศึกษาที่ความรู้ๆ(รู้สึก)กระจ่างแต่อย่างเดียว กลายเป็นต่างคนต่างอยู่ แต่อยู่อย่างไม่เป็นมิตร
ด้วยความชื่นชมชาวระยองที่จัดงานรำลึกถึงมหากวีสุนทรภู่เป็นประจำทุกปีอย่างเข้มแข็งแต่อยากให้ขยายพรหมแดนความรู้ด้วยหลักฐานจ้อเท็จจริงควบคู่ไปด้วยสมกับชีวิตความเป็นจริงของสุนทนภู่ที่แสวงหาความรู้ตลอดชีวิต รู้เท่าทันโลกและการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย และเป็นอมตะจนถึงทุกวันนี้
ชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต
ผู้ประสานงาน กองทุนสุนทรภู่ศึกษา