"พ่อสุนทรภู่" เดิมรับราชการอยู่กรุงศรีอยุธยา ก่อนกรุงแตกในสังกัดวังหน้า-เจ้าฟ้ากุ้ง เป็นคนในบังคับของพ่อกรมพระราชวังหลัง (สมัยกรุงรัตนโกสินทร์) ขณะนั้นเป็นขุนสังกัดกรมตำรวจวังหน้า ติดตามรับใช้เรื่อยมาจนถึงกรุงธนบุรีอยู่ในสังกัดเจ้าเมืองโคราช ตำแหน่ง พระสุริยอภัย ครอบครัวสุนทรภู่ จึงผูกพันทำงานอยู่เจ้านายพระองค์มาตลอด แม่ของสุนทรภู่ จึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นแม่นมั่น (นึกภาพความสนิทชิดเชื้อเหมือน แม่นมลาวชี แม่ของจเด็จที่กินนมร่วมเต้ากับมัตรราชบุตรตองอู ในผู้ชนะสิบทิศ ของ ยาขอบ)
จนกระทั่ง กรมพระราชวัง -นายทองอินทร์ ได้รับโปรดเกล้าสถาปนาเป็น เจ้าวังหลังที่ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข สุนทรภู่ จึงเกิดอยู่ที่วังหลัง(บริเวณโรงพยาบาลศิริราช ตรงศิริราชภิมุขสถาน) สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงอนุมานเอาตามโหราจารย์ที่คาดคเนวันเดือนปีเกิดว่าน่าตะเป็น 26 มิถุนายน 2329 กรมพระราชวัง ดูแลกินหัวเมืองชายทะเล
ในสมัยกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช บำราบเมืองชายทะเลที่ปราบไม่สิ้นหาตัวไม่พบอยู่สองคนคือ ขุนราม กับ หมื่นซ่อง บ้านใหญ่ผู้มีอิทธิย่านระยอง-ชลบุรี แต่ก็ด้วยบารมี พระครูชื่นแห่งเมืองแกลงที่มีญาติโยมศรีทธาบารมีเพราะทรงภูมิด้านปริยัติช่วยเหลือ บ้านเมืองจึงค่อนข้างสงบ จึงได้นิมนต์มาอยู่ที่กรุงธนบุรี เป็นสมถารวัดหงษ์รัตนาราม สุดท้ายได้สถาปนาขึ้นเป็ สมเด็จพระสังฆราช(ชื่น) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์สุดท้ายของกรุงธนบุรีแบะเป็นแกนนำพระสงฆ์องค์สำคัญที่สนับสนุนเรื่องบุคลลธรรมดาที่มิใช่พระภิกษุหากบรรลุธรรม พระสมมติสงฆ์กราบได้ จนถึงรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์สมเด็จพระสังฆราชชื่น ถูกลดตำแหน่งเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมเมื่อได้มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช(สี)วัดระฆัง ขึ้นเป็นสมเด็จสังฆราชครั้งสองในแผ่นดินใหม่ ซึ่งถูกปลดจากแผ่นดินกรุงธนบุรีที่คัดค้านเรื่องพระต้องกราบฆาราวาสที่บรรลุธรรม
มีหมายเหตุของรัชกาลที่ 1 กล่างถึง สมเด็จพระสังฆราช(ชื่น)ว่าผเป็นผู้รู้ความสามารถแตกฉานพระธรรมวินัย เสียตรงที่มีนิสัยขี้ประจบ แต่ยังไว้ว่างพระราชหฤทัยเป็นหนึ่งในพระมหาเถระที่ร่วมชำระพระไตรปิฎก และยังช่วยเรื่องศรัทธาไพร่บ้านพลเมืองชายทะเลตะวันออก จนกระทั่ง พ่อสุนทรภู่ ออกบวชแทนเจ้านายคือ กรมพระราชวังหลัง หลังเสร็จศึกสงครามเก้าทัพและโปรดพระราชทานตั้งสัญบัตรพัดยศที่ พระครูธรรมรังษี จำพรรษาอยู่บ้านกล่ำ เมืองแกลง น่าจะประจวบกับสมเด็จพระสังฆราช(ชื่น) พระผู้ทรงอิทธิพลหัวเมืองชายทะเลตะวันออกมรณภาพลง
พ่อสุนทรภู่แต่หาใช่เป็นคนเมืองแกลงโดยกำเนิดไม่ แต่บวชด้วยเงื่อนไขทางการเมืองล้วน ๆ จนเป็นที่มาของการเดินทางไปราชการ(ลับ) ของสุนทรภู่ เมื่อพ.ศ.2349 หรือ 2350 ภายหลัฃที่กรมพระราชวังหลังทิวงคต หลักฐานการเดินทางครั้งสุนทรภู่เขียนบอกไว้เองว่าไปทำอะไรที่เมืองแกลง นิราศเชิงบ่นตลอดร่ายทางและแต่งฝากสาวมิ่งมิตรพิสมัยตามขนบนิราศรักีำพุงรำพันแบบ เพลงยาวรยพม่าที่ท่าดินแดง ของรัชกาบที่ 1 เขีบนไง้เมื่อปีที่สุนทรภู่ถือกำเนิด
เรื่องราว "สุนทรภู่" ผมเคยได้รีบความเมตตาจากท่านปลัด สมชาย เสียงหลาย เป็นปลัดกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนั้น ให้จัดกิจกรรมแบ่งปันความรู้เรื่ององค์ความรู้เกี่ยวกับ สุนทรภู่ ไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ประสานงานร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเกือบ 20 จังหวัดทั้งภูมิภาค ในกิจกรรมนอกจสกผมจะเป็นคนบรรยายยังมีนิทรรศการประงัติสุนทรภู่จัดแสดงและแบ่งปันให้ครูนำไปใช้เป็นวื่อการศึกษาทำนิทรรศการแบบฟรี ๆ ระหว่าง พ.ศ.2555-56 แบะทุกวันนี้ยังมีจิตอาสาสฝไปแลกเปลี่ยนรู้เรื่องสุนทรภู่โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ในนามผู้ประสานงานกองทุนสุนทรภู่ศึกษา ที่ก่อตั้งขึ้นมาเองไว้ใช้ในการทำงานที่ต้องทำหนัฃสือขอความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ
เป็นช่วงเดียวกันที่ สำนักสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ตั้งรางวัล สุนทรภู่ ที่มอบให้กับกวี 10 ชาติอาเซียน ควบคู่กันไป เพียงแต่ตอนนั้นทำก็ไม่ระบุว่าพ่อสุนทรภู่ เป็นคนที่ไหน แต่พอเมื่อวาน สำนักประชาสัมพันผธ์ กระทรวงวัฒนธรรม แจกข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมวันวุนทรภู่ที่ระยอง ลงประวัติว่า พ่อสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่ำ เมืองแกลง ก็เลยงงๆ เพราะกระทรวงศึกษาธิการก็ไม่ได้ใข้ชุดความรู้นี้แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมชาวระยอง นอกเหนือการจัดกิจกรรมสุนทรภู่คือการดำริสร้างหมุดกวี ตามเส้นทางนิราศเมืองแกลง ให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่ามหากวีท่านนี้ได้เดินทางผ่านไปตรงไหนบ้างขอฃจังหวัดระยองฮิ
ชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต
ผู้ประสานงานทั่วไป
กองทุนสุนทรภู่ศึกษา