วันที่ 22 มิ.ย.66 เพจเฟซบุ๊ก ไม้นอกกระถาง โพสต์ข้อความระบุว่า...

#ปรากฏการณ์หยก

#ยอดภูเขาน้ำแข็งการศึกษาและสังคมไทย

เรื่องราวของ “หยก” สะท้อนปัญหาการศึกษาไทยและสังคมไทย แม้ว่าจะดูเป็นเรื่อง “สุดขั้ว” ที่เยาวชนคนหนึ่งจะมีพฤติกรรมแบบนี้ ก็ไม่ควรพิจารณาเป็นกรณีเดี่ยวๆ แต่เชื่อมโยงกับบริบทของสังคมไทยในระยะหลายปีที่ผ่านมา ที่มี “รุ่นพี่” ของหยกที่ขบถมาก่อนเป็นขบวนการ เพียงแต่ช่วงนี้เธอมา “เดี่ยว”

1) อำนาจนิยม สังคมอำนาจ

สังคมไทยเป็นสังคมที่ใช้อำนาจ บังคับให้ทำตามกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ ที่ “ผู้มีอำนาจ” ในสังคมกำหนด เช่น พ่อแม่ ครู อาจารย์ แพทย์ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หัวหน้า ผู้จัดการ เป็น “ผู้ใหญ่” ที่บอกหรือสั่ง ที่ “เถียงไม่ได้” เพราะ “ผู้ใหญ่ คนมีอำนาจ” ถูกเสมอ ดังคำพังเพย “ตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด “ “อาบน้ำร้อนมาก่อน”

ความสัมพันธ์ครู-นักเรียน เป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ในสังคมอำนาจจึงยากที่พูดเรื่อง “สิทธิเสรีภาพ” ซึ่ง “ผู้ใหญ่” คนมีอำนาจกำหนดนิยามไว้แล้ว โดยนำไปผูกติดกับระเบียบกฏเกณฑ์และวิธีปฏิบัติภายนอกที่มักเป็นแบบ “อนุรักษ์นิยม” และไม่ได้ยึดเอา “แก่น” ของสิทธิเสรีภาพ อันเป็น “เนื้อใน” ของความเป็นมนุษย์ แล้วมาดูว่า ในสถานการณ์วันนี้ สิทธิเสรีภาพ แปลว่าอะไร ขีดเส้นไว้ตรงไหนที่ “ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ” ของผู้อื่น

2) ครู หนังสือ ตำรา คือศูนย์กลาง ไม่ใช่เด็ก

การศึกษาไทยไม่ได้เอาเด็กเป็นศูนย์กลางอย่างที่อ้างมานาน ครูและหนังสือตำราเป็นศูนย์กลาง ใช้มาตรฐานเดียวในการวัดความสามารถของเด็ก วิธีการเดียวทั้งประเทศ เหมือนตัดเสื้อไซส์เดียวใส่ได้ทุกคน เด็กจำนวนมากจึงถูกทิ้งไว้กลางทาง เพราะเข้ากับระบบการศึกษาแบบนี้ไม่ได้ ถูกไล่ออกเพราะอยู่ในสังคมแบบนี้ไม่ได้

“การศึกษาทำลายความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก” (เซอร์เคน โรบินสัน) “เด็กทุกคนเกิดมาเป็นศิลปิน ปัญหาคือจะให้คงความเป็นศิลปินเมื่อโตขึ้นได้อย่างไร”(ปีกัสโซ) ถ้าครู พ่อแม่ มองไม่เห็นศักยภาพของเด็ก

3) สังคมเปลี่ยน เด็กเปลี่ยน แต่ระบบการศึกษาไม่เปลี่ยน

การแตกแถวเป็นความผิดที่ต้องลงโทษ โดยไม่สนใจว่า ลึกๆ ทำไมถึงทำผิด ทำไมถึงกบฎ ความผิดพลาดกลายเป็นบาป เป็น “ตราบาป” ไม่มีการเสวนา และไม่ยอมเปิดใจว่า ปฏิกิริยากบฏ เป็นแรงระเบิดจากการกดดันของกฎระเบียบ และอำนาจครอบงำของครู โรงเรียน ระบบการศึกษาโดยรวมหรือไม่

4) สนใจเปลือก กระพี้ การแต่งกาย ทรงผม ระเบียบภายนอก ไม่สนใจจิตสำนึกภายใน

หลายประเทศก็มีเรื่องการแต่งกาย แต่ไม่มีปัญหา ให้ความสนใจ “แก่น” ของการศึกษา มากกว่าเปลือกนอกอย่างเรื่องการแต่งกาย ทรงผม ถึงมีระเบียบก็ไม่ได้กดดัน ไม่ได้ให้ความสำคัญทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ “เอาเป็นเอาตาย” แบบไทย ที่เครื่องแต่งกายกลายเป็น “สัญลักษณ์” “สนามประลอง” ของ “เด็กเลว” “วิญญาณขบถ”

5) การศึกษา “พอกะเทิน”

ไปดูงานฟินแลนด์กันบ่อย ประกาศว่าจะจัดการศึกษาแบบ “ฐานปรากฏการณ์” ใช้สถานการณ์จริงเรียนรู้ อย่างที่ฟินแลนด์เขาเอา “ชีวิต” มาเรียน บ้านเราลองเอาเรื่อง “ปรากฏการณ์หยก” มาเรียนกันบ้างก็น่าจะดี

คงทำอย่างฟินแลนด์ยาก เพราะนอกจากระบบการศึกษาที่รวมศูนย์ที่กรุงเทพฯ คิดอะไร สั่งอะไรจากที่นี่ ไม่มีการกระจายอำนาจ กระจายทรัพยากร ไม่ได้มีส่วนร่วมของครูและท้องถิ่น ที่สำคัญ คุณภาพการศึกษาของเขาอยู่ที่คุณภาพครู ที่เป็นอาชีพแถวหน้าในประเทศ เพราะ “การสร้างคน” เป็นภารกิจสำคัญที่สุด ครูบ้านเราได้เงินเดือนสูง แต่หนี้สินก็ไม่เคยน้อยลง ระบบการศึกษาทำให้ครูมี “ภาระอื่น” ที่สำคัญกว่าการสอน

ระบบการศึกษาไทยสร้างทัศนคิตที่แปลกอย่าง “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” แปลว่าจัดการศึกษาแบบแยกส่วน แบบเรียนกับครูดูหนังสือ กับแบบทำกิจกรรม คิดไม่ออกว่า จะจัดการศึกษาแบบองค์รวม ที่เอาชีวิตเป็นตัวตั้งได้อย่างไร ฟินแลนด์ให้ความสำคัญเท่ากันระหว่าง การเรียนดนตรี กีฬา ศิลปะ กับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ และการเรียนรู้จากปรากฏการณ์

ฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับการสอบการวัดผลน้อย เพราะทำให้เกิดความเครียด แต่เน้นที่การติดตามดูพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กมากกว่า ซึ่งเป็นงานที่หนักกว่าการออกข้อสอบ งานหนักขนาดนี้ ค่าตอบแทนครูที่ฟินแลนด์จึงสูง และประเทศนี้ไม่มีเด็กที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแบบหลุดจากระบบการศึกษาแม้แต่คนเดียว

6) “ความเท่าเทียม” ที่ไม่เท่ากัน

เท่าเทียมคงไม่มีใครหมายความว่า นักเรียนใหญ่เสมอครู ทำตัวเหมือนเพื่อนเท่าเทียมกัน แต่หมายถึง “เท่ากันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ที่พร้อมจะรับฟังกันและกัน เคารพให้เกียรติ ความเห็นที่แตกต่าง เด็กก็ให้เกียรติและเคารพครู รับฟังครู ครูก็ให้เกียรตินักเรียน และรับฟังนักเรียน ทั้งสองฝ่ายรับฟังกันด้วยใจเปิดกว้าง หาทางออกที่เหมาะสม

ความเท่าเทียมที่เด็กนักเรียนเรียกร้องวันนี้ เป็นความเท่าเทียมทางโอกาสการศึกษา โอกาสการพัฒนาตนเอง เท่าเทียมในการแสดงออกอย่างเสรี ไม่มีชนชั้น ไม่แบ่งแยกคนจากสถานะภายนอก

ไม่ใช่พูดกันไม่ได้ มีบางโรงเรียนครูฟังนักเรียน และพูดจากันเรื่อง “เสื้อผ้า” และค่อยลองดูเป็นขั้นตอนว่า วันไหนสวมใส่ชุดอะไร โดยไม่จำเป็นต้องชุดนักเรียนทุกวัน ค่อยทดลองกันไปจนกว่าจะได้คำตอบที่เหมาะสม โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนทดลองมา 4 ปี สรุปว่า ได้เรียนรู้ร่วมกันมากขึ้น ครูได้รู้จักนักเรียนมากขึ้น

7) เจตจำนงร่วม (general will)

ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน มีเจตจำนงร่วมกันอย่างไร ที่เป็นข้อตกลงร่วมกันในการจัดการศึกษา ถ้าไม่มีข้อตกลงร่วม ต่างฝ่ายต่างมีข้ออ้างเหตุผลสนับสนุนความคิดเห็นและการกระทำของตนเอง นักเรียนก็เรียกร้อง “สิทธิเสรีภาพ” ที่ “เท่าเทียมกับครู” เมื่อครูแต่งกายไม่มีเครื่องแบบ นักเรียนก็อยากแต่งบ้าง ครูย้อมผมดำปิดผมขาว เด็กก็อยากได้ผมสีปิดผมดำบ้าง เรื่องจะไม่มีวันจบ เป็นการบิดเบือน “ความเท่าเทียม”

รุสโซ คือ นักปรัชญาที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติฝรั่งเศส เขาเป็นคนเสนอ “สัญญาประชาคม” (social contract) และ “เจตจำนงร่วม” (general will) และยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับการศึกษาที่เอาเด็กเป็นศูนย์กลางตั้งแต่ปี 1762 หรือ 261 ปีก่อน (Emile : on Education)

เจตจำนงร่วม จะทำให้โรงเรียนเป็นสถานที่น่าอภิรมย์ นักเรียนเรียนอย่างมีความสุข ได้เรียน ได้เล่น ได้ทำกิจกรรมที่ไม่แยกจากการเรียนและชีวิตจริง ครูก็ได้ทำงานพัฒนาศักยภาพของเด็กแต่ละคนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองก็มีสิทธิมีส่วนในการจัดการศึกษาที่โรงเรียน ไม่แปลกที่มวยไทยถูกบรรจุเข้าไปในโรงเรียนหลายแห่งในฟินแลนด์ เพราะผู้ปกครองเห็นด้วย อยากให้ลูกมีศิลปะป้องกันตัว และสุขภาพดี

ปัญหาการศึกษาไทยกับปัญหาสังคมไทยผูกติดกันแบบแยกไม่ออก ไม่เข้าใจการศึกษาไทยถ้าไม่เข้าใจสังคมไทย ที่เป็นอนุรักษ์นิยม สังคมอำนาจ ใช้การบังคับ ความรุนแรง มากกว่าเหตุผล และสันติวิธี

และไม่เข้าใจสังคมไทย ถ้าไม่เข้าใจการศึกษาไทย ที่หล่อหลอมเด็กไทยตั้งแต่ไม่กี่ขวบจนถึงมหาวิทยาลัย ที่ยังให้ใส่ชุดนักศึกษาจนจบปริญญาตรี “คนเกิดมาเสรี แต่ทั่วไปเต็มไปด้วยพันธนาการ” (รุสโซ)

การศึกษา (education) ควรจะเป็นการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (emancipation) จากความไม่รู้ การครอบงำจากอำนาจและค่านิยมและการปฏิบัติที่ไม่สมสมัย (hegemony) การศึกษาที่น่าจะเป็นการสร้างพลัง ความเข้มแข็งให้ผู้เรียน (empowerment) ไม่ใช่การใช้บิดเบือน (manipulation) เพื่อประโยชน์ในการครอบงำ

การศึกษาที่มีประสิทธิภาพทำให้คนมีความรู้ “คนมีความรู้ปกครองง่าย แต่ครอบงำยาก และกดขี่ข่มเหงไม่ได้เลย” (วิลเลียม เบลค)

“คุณจองจำฉันได้ ทรมานฉันได้ หรือแม้กระทั่งฆ่าฉันได้ แต่จะไม่มีวันพันธนาการจิตใจฉันได้” (มหาตมะ คานธี)

“สังคมอำนาจก็ได้ปฏิกิริยาโต้กลับต่อต้านอำนาจ จึงมีขบถ กดดันมากก็ระเบิด กดขี่มากก็กบฏ”

เสรี พพ 22/6/66