นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวปาฐกถาอนาคตเศรษฐกิจไทย ในงานสัมมนา Thailand : Take Off ว่า เศรษฐกิจไทยจะ Take Off ได้ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน โดยปัญหาในปี 2566 อยู่ที่ภาคการส่งออกหดตัว ซึ่งเป็นเหมือนกันทั้งภูมิภาคทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย จึงจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศไม่มีปัญหา มีแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 28 ล้านคน และการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี

โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างรอรัฐบาลใหม่ การพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 คาดว่าอย่างช้าที่สุดจะเสร็จภายในไตรมาส 1/67 จากการหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งที่ใช้งบปีงบประมาณและปีปฏิทิน ในช่วงไตรมาส 4/66 จะมีงบลงทุนจากรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท และงบผูกพันอีก 9 แสนล้านบาท รวมเป็นประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/67 คาดว่าจะมีงบลงทุนจากรัฐวิสาหกิจตามปีปฏิทิน ออกสู่ระบบอีกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และมีงบผูกพันอีกประมาณ 7 แสนล้านบาท รวมเป็นเม็ดเงิน 2 ไตรมาสที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 1.8-1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะพยุงเศรษฐกิจได้ ระหว่างที่รองบประมาณปี 2567 เชื่อว่าถ้างบประมาณผ่านในไตรมาส 1/67 รัฐบาลชุดใหม่ก็ต้องเร่งเบิกจ่ายเพื่อให้ทันระยะเวลา

ทั้งนี้ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 เดินหน้าฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ปัญหาที่จะเข้ามากระทบเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลก ไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจภายใน ส่วนเรื่องค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภค จากนี้จะเริ่มปรับลดลงตามราคาพลังงาน แต่ยังห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ต้องให้ความสำคัญที่จะฉุดรั้งการใช้จ่ายในระยะต่อไป รวมถึงต้องดูหนี้เสียในกลุ่มรถยนต์ที่ต้องเฝ้าระวังจริงจัง เพราะมีแนวโน้มขยับขึ้นเรื่อยๆไตรมาสละ 0.2-0.3% และหนี้บัตรเครดิตที่ต้องระมัดระวังใช้จ่ายเกินตัว

ขณะที่การทำรัฐสวัสดิการของรัฐบาลชุดใหม่ จะต้องคำนึงความเหมาะสม และสถานการณ์ด้านการคลัง ซึ่งช่วงนี้ควรต้องทำสวัสดิการแบบพุ่งเป้า จะทำแบบถ้วนหน้าไม่ได้ การจะทำรัฐสวัสดิการได้ ต้องมีฐานะการเงินการคลังที่เข้มแข็งกว่านี้ ต้องมีการจัดเก็บรายได้ และฐานภาษีที่มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีการยื่นแบบ 11 ล้านราย แต่มีการเสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านรายเท่านั้น ดังนั้นต้องเร่งปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ ปรับโครงสร้างภาษี และดึงกลุ่มที่อยู่นอกระบบเข้ามาเสียภาษี ไม่หลีกเลี่ยงภาษีก่อน