วันที่ 21 มิ.ย. 66 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสุรทิน พิจารณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นคนแรกที่เข้ามารับหนังสือรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันนี้ ว่า เป็นส.ส. มา 3 สมัย ครั้งนี้เป็นสมัยที่ 3 แต่ครั้งแรกถูกฟ้อง จึงลาออกไม่ได้ดำรงตำแหน่ง ครั้งนี้ตั้งใจจะเข้าไปทำงานอย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า ภายหลังการได้เป็นส.ส.จะเข้าไปผลักดันอะไรในสภาผู้แทนราษฎร นายสุรทิน กล่าวว่า มีเยอะเลย จะอุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งยวด และพี่น้องประชาชนคนไทย โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน หนี้สิน ป่าไม้ เขื่อน และเรื่องสุดท้ายคือเรื่อง สหพันธ์ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ในการช่วยเหลือภายใต้คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 อันเป็นนโยบายสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่เป็นการเยียวยาให้กับประชาชนที่เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
นายสุรทิน กล่าวต่อว่า มีตนเองคนเดียวที่พูดเรื่องนี้คราวที่แล้ว ไม่มีการหารืองบประมาณ 6,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาช่วยเหลือ แต่ไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียวในรอบนี้ ตนเองมีคะแนนเสียงเกือบ 300,000 จึงตั้งใจจะมาทำเรื่องเหล่านี้
เมื่อถามถึงทิศทางการเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปไตยใหม่ นายสุรทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้หารือกับกรรมการบริหารพรรค เพราะว่าเพิ่งได้มารายงานตัว ส่วนตัวมองว่าเรื่องประธานสภาฯ เรื่องการเลือกนายกฯ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบ้านเมือง พรรคประชาธิปไตยใหม่ในแนวของสวัสดิการสังคม ต้องหารือกัน และจะมีการนัดประชุมกันในวันที่ 30 มิ.ย. ที่จังหวัดระยอง ในเรื่องของประธานสภาฯ ตนมองว่าเป็นเอกสิทธิ์ของผู้แทนฯ แต่ต้องเลือกคนที่เหมาะสมจริงๆ
เมื่อถามว่า มีหลักเกณฑ์การเลือกประธานสภาฯ และนายกฯ อย่างไร และคิดเห็นอย่างไรต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในขณะนี้ นายสุรทิน กล่าวว่า ตนให้กำลังใจนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เพราะนายพิธาก็โทรมาหา และขอให้มาช่วยร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่ตนตอบกลับไปว่า 312 เสียงก็ถือว่าเยอะแล้ว ขอให้กำลังใจแทนก็แล้วกัน นอกจากนี้นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ แกนนำพรรคก้าวไกลก็ได้โทรมาหาตนเช่นเดียวกัน ส่วนการเลือกประธานสภาฯ และนายกฯ ตนขอคุยกับคณะกรรมการก่อน แต่ในความคิด ก็ควรเป็นไปในแนวทางของประชาธิปไตยอยู่แล้ว และตนมองว่าผู้สมัคร ส.ส. ที่ได้รับเลือกเข้ามา ก็สามารถเป็นประธานสภาฯได้ทุกคน แต่ต้องดูที่ความเหมาะสม ทั้งความรู้ และความสามารถ
