เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 20 มิ.ย. 66 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทาส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ เข้ารับหนังสือรับรองส.ส.ต่อกกต. โดยกล่าวว่า ขอบคุณกกต. ที่เร่งประกาศรับรองส.ส. ก่อน 60 วัน สำหรับการทำงานของ 8 พรรคร่วม ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการต่างๆ นั้นได้เตรียมการในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลไปมากแล้ว เพื่อเตรียมกำหนดนโยบายร่วมกันในการแก้ไขปัญหาหลายด้านส่วนการเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯนั้น เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ที่จะต้องไปตกลงกัน หลังจากนั้นจึงจะต้องพูดคุยกับ 8 พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อรับทราบต่อไป ส่วนพรรคไหนจะได้เป็นประธานสภาฯและรองประธานสภาฯ นั้น ทั้ง 2 พรรคคงมีตัวบุคคลแล้ว และเชื่อมั่นว่าจะคัดคนที่เข้ามาทำงานเป็นอย่างดี เพราะประธานสภาฯ ต้องเป็นประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติ อีกทั้งประธานสภาฯ เป็นคนที่มีประสิทธิภาพ และมีความรู้ความสามารถ ก็จะทำให้งานของสภาฯ คืบหน้าไปด้วยดี ซึ่งมีงานอีกมากมาย ในการแก้ไขกฎหมายต่างๆ รวมถึงการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหน้าที่ของประธานสภาฯ ซึ่งเป็นผู้นำ จะดำเนินการให้รวดเร็วได้อย่างไร ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นประชาธิปไตยตามที่ประชาชนต้องการ เชื่อว่าทั้งสองพรรคคงจะคุยเพื่อหาคนที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพ ที่จะนำฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป 

เมื่อถามว่า ถ้าคนที่จะเป็นประธานสภาฯอ่อนพรรษา จะเป็นปัญหาในการควบคุมที่ประชุมหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า อ่อนพรรษา หรือแก่พรรษา ประธานสภาฯ คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยมาก เพราะอยู่ที่บุคลิกของคนนั้นๆ ที่จะเป็นผู้นำ ซึ่งคนที่จะเป็นประธานสภาฯทุกคน จะต้องศึกษาข้อบังคับกฎหมายอย่างแม่นยำ แล้วก็ตัดสินบนพื้นฐานในการให้โอกาสสมาชิกแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน จะต้องรักษาข้อบังคับของสภาฯด้วย โดยครั้งหนึ่ง นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาฯ เคยเป็นประธานที่มีอายุแค่ 30 กว่าปี ก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี 

เมื่อถามถึงโผลคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า คงจะต้องพูดกันเป็นขั้นตอนต่อไปหลังจากที่พูดเรื่องประธานสภาจบแล้ว ซึ่งจะต้องจัดตำแหน่งให้ลงตัวเหมาะสมกับกระทรวง และเหมาะสมกับนโยบายที่ 8 พรรคจะมีเพื่อให้ตำแหน่งนั้นทำงานได้อย่างรวดเร็ว เมื่อถามอีกว่าพรรคประชาชาติมองกระทรวงไหนไว้แล้วบ้าง นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า พรรคประชาชาติเป็นพรรคเล็ก จะต้องหารือกัน ทั้งนี้เราจะอยู่ตรงไหนก็ได้ที่เราสามารถขับเคลื่อนในสิ่งที่เราเห็นว่ามีความสามารถที่จะทำได้ ซึ่งเราเข้าไปทำงาน ไม่ได้ไปหาผลประโยชน์แต่อย่างใด