ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ความกลัวก็แค่อีกอารมณ์หนึ่ง เพียงแค่เอาอารมณ์อื่นมาแทนที่ หรือรอคอยเวลา มันก็จะเปลี่ยนไป หรือบางทีก็หายหมดไป
นารีสมรเคยร้องไห้หนัก เมื่อตอนที่อายุได้ 40 ปี เธอกำลังมีโชคเรื่องการงาน เพราะเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกอง หรือเป็นซี 8 ที่ยังสาว มองไปในอนาคตของอายุราชการที่เหลือเกือบ 20 ปี จึงพอมองเห็นตำแหน่งบริหารสูงสุดของกระทรวงนั้นอยู่ไม่ไกล แต่เธอกลับโชคร้ายเรื่องชีวิตครอบครัว แม้จะมีผู้ชายมารุมจีบและบางคนถึงขั้นขอแต่งงาน แต่เธอก็ตอบปฏิเสธไปอย่างไม่ต้องคิด ด้วยความกลัวในจิตใจอันฝังแน่นมาตลอดทั้งชีวิต แรก ๆ เธอก็รู้สึกดี ที่สามารถสลัดอนาคตแห่งความทุกข์ยากที่เธอกลัวนั้นออกไปได้ แต่พออายุมากขึ้นคือ 40 ปีนี้แล้ว เธอกลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาโดยไม่รู้เหตุผล แล้วเธอก็ร้องไห้อย่างหนัก
เธอไม่กล้าไปงานเลี้ยงรุ่นหรือรับนัดหมายเพื่อน ๆ ที่อยากจะเจอ เธอไม่ชอบการคุยอวดเรื่องลูก เรื่องสามี เรื่องบ้าน หรือความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานต่าง ๆ แต่ว่าที่เธอกลัวที่สุดก็คือคำถามที่ว่า ทำไมยังไม่แต่งงาน ไม่มีใครมาชอบเลยหรือ เหมือนว่าเธอมีบางอย่างบกพร่อง ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะหน้าตารูปร่างของเธอก็สวยงาม หน้าที่การงานก็ดี ที่สำคัญนิสัยก็ไม่ได้เลวร้าย แถมยังมีน้ำใจเอื้อเฟื้อและชอบช่วยเหลือใคร ๆ แต่ถ้าเลี่ยงที่จะตอบไม่ได้ เธอก็จะตอบไปแกน ๆ ว่า “ยังไม่มีคนที่ถูกใจ”
แต่พออายุมากขึ้น แม้ว่าแต่ละวันเธอพยายามที่จะทุ่มเทเวลาให้กับงานในที่ทำงาน โดยเฉพาะการได้ออกไปตามต่างจังหวัด หรือถ้ามีโอกาสก็จะใช้สิทธิที่จะได้ไปประชุมสัมมนาที่ต่างประเทศ เธอก็จะไม่รั้งรอที่จะใช้สิทธินั้น แต่ความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว อย่างที่ใคร ๆ เรียกว่า “ว้าเหว่” นั้นก็ไม่ได้จางหาย บางทีเธอก็กลัวที่จะอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง และบ่อยครั้งเธอก็กลัวว่านอนหลับไปแล้วจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก !
เธอแก้ปัญหาด้วยการเปิดทีวีเป็นเพื่อน ดูรายการแฟชั่นทางเคเบิ้ลทีวีที่มีโชว์ต่าง ๆ ตลอดคืน แต่ไม่เปิดเสียง เพียงแค่ต้องการให้ตื่นมาแล้วได้เห็นผู้คน ก็พอแก้การ “กลัวเหงา” ได้ในบางคืน แต่พอเกษียณแล้ว เธอไม่มีงานที่จะมาสุมหัวให้แก้เหงา เธอก็กลัวช่วงเวลาที่เธอว่าง ๆ นั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ครั้นจะไปหาเพื่อนฝูงในช่วงแรก ๆ นั้นก็ยังไม่กล้า เธอเลยเอาแค่ไปที่ศูนย์การค้า หรือไปเดินตามที่สาธารณะต่าง ๆ ถึงขั้นที่ไปหาเทศกาลต่าง ๆ ออกเที่ยว แรก ๆ ก็ซื้อทัวร์ไป ต่อมาก็มีเพื่อนร่วมเดินทาง โชคดีที่ได้เพื่อนที่รสนิยมถูกใจกัน ก็คบหาพากันไปเที่ยวที่นั่นที่นี่อยู่เป็นประจำ นาน ๆ ครั้งก็ไปเที่ยวที่ต่างประเทศ และไม่นานมานี้เธอก็เริ่มกลับไปหาเพื่อน ๆ ที่เคยเรียนหนังสือในชั้นเรียนต่าง ๆ เธอเริ่มคุ้นกับคำถามเรื่องครอบครัวและเรื่องส่วนตัว เพราะเพื่อนหลายคนก็มีปัญหาความเหงาเหมือนกับเธอ บางคนสามีไปมีกิ๊ก บางคนลูก ๆ ก็ไม่ได้อยู่ด้วย บ้างกำลังเรียนที่ต่างประเทศ บ้างก็ไปทำงานต่างจังหวัด หรือถ้าทำงานในกรุงเทพฯ ก็แยกตัวไปหาคอนโดมิเนียมหรือที่อยู่ที่อื่น กระทั่งบางคนก็ขอเข้ามาเป็นเพื่อนร่วม “ก๊วนทัวร์” เพื่อชดเชยชีวิตในช่วงที่ยุ่ง ๆ กับการงานหรือครอบครัวนั้นด้วย
พวกเธอยังมีความสุขกับการที่ได้ “แอ๊บสาว” คือแกล้งทำตัวเป็นเด็กสาว กลุ่มของเธอที่มี 5 - 6 คน นอกจากเธอที่ไม่ได้แต่งงาน ก็ยังมีเพื่อนอีก 2 คนที่ยังไม่ได้แต่งงานเช่นกัน อีก 3 คนนั้นแต่งงานและมีลูก แต่แยกกันอยู่กับสามี มีคนหนึ่งที่สามีเสียชีวิตแล้ว แต่ทั้งสามคนนี้ก็ไม่ได้อยู่กับลูก เพราะแยกบ้านออกไปแล้ว ทั้งที่ไปทำงานและออกไปแต่งงาน พวกเธอจึงลองแต่งตัวและแต่งหน้าแต่งตาทำผมให้ดูเป็นเด็กสาว แต่เป็นแบบ “ไฮคลาส” คือดูหรูหราแบบไฮโซ พากันไปทานข้าวตามศูนย์การค้าของวัยรุ่นและสถานที่ท่องเที่ยวของวัยรุ่น ก็ทำให้เป็นจุดสนใจของวัยรุ่นทั้งหลายได้พอสมควร แถมยังได้เพื่อนเป็นวัยรุ่นและได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ต่าง ๆ ได้จากวัยรุ่นเหล่านั้น ทำให้พวกเธอรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรที่จะต้องเรียนรู้อีกมาก
จากการที่ได้คบเด็ก ๆ นี่เอง ทำให้เพื่อนบางคนได้กลับไปมีความสัมพันธ์ที่ดี ๆ กับลูก ๆ เหมือนว่าพวกเธอเพิ่งจะเข้าใจในตัวลูก ๆ แต่ส่วนตัวของนารีสมรกลับได้ “บางอย่าง” ที่ดีกว่านั้น นั่นก็คือเธอได้ “อนาคต” กลับคืนมา อนาคตที่เธอเคยหวาดกลัว กลัวจนกระทั่งไม่กล้าแต่งงาน และไม่อยากจะก้าวเดินไปในการงานอาชีพที่ไม่มั่นคง อย่างที่เธอได้จมปลักอยู่ในระบบราชการจนกระทั่งเกษียณนั้น
พวกวัยรุ่นที่เธอคบมีหลายกลุ่มและหลายแบบ เริ่มต้นพวกเธอแกล้งไปทำทีพูดคุยเรื่องเสื้อผ้ากับวัยรุ่นสาว ๆ รวมถึงแหล่งที่พวกสาว ๆ ชอบไปชุมนุมหรือกินดื่มกัน รวมทั้งแหล่งเสริมสวยและซื้อข้าวของ เมื่อสนิทสนมกันดีแล้วก็ชวนพูดคุยไปในเรื่องต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการบ้านการเมือง และอนาคตของสาว ๆ เหล่านั้น แต่วัยรุ่นเหล่านั้นก็ดูจะไม่สนใจอนาคตอะไรมากนัก ต่างจากพวกเธอที่สนใจเป็นพิเศษ เพราะบางคนก็มีลูกและเป็นห่วงอนาคตลูก ๆ ของตัวเอง ที่สุดพวกเธอก็ได้เรียนรู้จากเด็กสาวเหล่านั้นว่า “อนาคตไม่ได้มีไว้ให้ห่วง แต่มีไว้ให้ไขว่คว้าและจะเลือกอนาคตอะไรก็ได้”
เด็กสาว ๆ เป็นฝ่ายที่ชวนคุยเรื่องการเมืองขึ้นมาก่อน เธอถามว่าพวกป้า ๆ นี่ชอบเผด็จการไหม เพราะคนแก่ ๆ จะชอบทหารและไม่อยากเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เห็นว่าที่อยู่กันมาก็สบายดีและพอใจกันพอสมควรแล้ว พวกเธอที่ถูกเรียกว่า “พวกป้า ๆ” ตอนแรกก็งง ๆ แต่มีนารีสมรที่จับความรู้สึกของพวกสาว ๆ ได้ก่อนใคร จึงตอบไปว่าไม่หรอก พวกป้าก็อยากเปลี่ยนแปลงเหมือนกันเพียงแต่ไม่ไว้ใจนักการเมืองรุ่นใหม่พวกนี้
“ย้อนกลับไป 40 กว่าปี พวกป้าก็มีอายุเท่าพวกหนูนี้มั้ง ตอนนั้นพวกป้าถูกทหารยึดอำนาจตอน 6 ตุลาคม 2519 แล้วก็มาถึงยุคป๋าเปรม แม้จะมีเลือกตั้งแต่ทหารก็เป็นนายกฯ พ่อแม่ของหนูก็เกิดยุคนั้น แล้วมาเป็นหนุ่มเป็นสาวกันในยุคทักษิณ แล้วปี 2549 ทักษิณก็ถูกยึดอำนาจ พวกหนูเพิ่งเกิด แต่พอโตจำความได้ ทหารก็ยึดอำนาจอีกในปี 2557 ชีวิตพวกหนูจึงได้ยินแต่รัฐประหาร ๆ พวกหนูอยากเปลี่ยนแปลงค่ะ”
“คุณป้าบอกว่าไม่ไว้ใจคนรุ่นใหม่ แล้วพวกเขาเป็นใครคะ ไม่ใช่ลูกหลานของพวกป้าหรอกหรือ น่าจะให้โอกาสพวกเขานะคะ พวกเขาก็รักบ้านเมืองเหมือนกัน แต่อาจจะรักในแบบของเขา และเขาก็คงไม่เอาควรมรักนี้ไปทำลายประเทศหรอก ถ้าทำลาย พวกหนู่นี่แหละที่จะขอทำลายพวกเลว ๆ นั้นเอง”
อย่างที่ทราบกัน วัยรุ่นยุคนี้พูดไม่ค่อยเพราะ ที่จริงคำพูดข้างต้นนี้ไม่ได้ฟังสุภาพเรียบร้อยแบบนั้น แต่ผมได้ถอดคำจากที่นารีสมรได้เล่าให้ฟังให้พอพิมพ์ลงให้อ่านได้ ซึ่งนารีสมรได้เล่าให้ฟังอีกมากเกี่ยวกับความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ที่นารีสมรกับเพื่อน ๆ ก็ไม่คิดว่าจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่รุนแรงแบบนั้น
แต่ในความรุนแรงเหล่านั้นมันคือ “ความจริงใจ” ที่คนเหล่านั้นมีต่อบ้านเมือง ที่พอนารีสมรได้ฟังแล้วก็รู้สึกสบายใจ เพราะอย่างน้อยก็พอจะรู้แล้วว่าอนาคตของบ้านเมืองจะอยู่ในมือใคร และใครจะรับผิดชอบดูแลบ้านเมืองนี้ต่อไป
แวบหนึ่งเธอนึกถึงสุภาษิตฝรั่งบทหนึ่งขึ้นมาในทันที “วันวานเป็นเรื่องของบรรพชน วันพรุ่งเป็นเรื่องของอนุชน” แล้วความกลัวในอนาคตของทุกสิ่งทุกอย่างก็จางไป