สนค.เผยเลือกตั้งดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับสูงสุดในรอบ 53 เดือน ชี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว-ท่องเที่ยวดีขึ้น-ราคาพลังงานลดลง
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ในเดือนพฤษภาคมปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 56.6 ซึ่งอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 สูงสุดในรอบ 53 เดือน และปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.5 อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว มาตรการภาครัฐจากการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้ากลุ่มครัวเรือน ราคาน้ำมันที่ปรับลดลง รวมถึงเป็นเดือนของการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสนใจมาก หากพิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่น 9 ด้านคือ เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก มาตรการของรัฐ สังคม/ความมั่นคง การเมือง/การเลือกตั้ง ภัยพิบัติ/โรคระบาด ราคาสินค้าเกษตร ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และอื่นๆพบว่า ปัจจัยด้านการเมืองและการเลือกตั้งมีความสำคัญต่อความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากในเดือนมกราคม 2566 ประชาชนเลือกปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นเป็นด้านการเมืองและการเลือกตั้งร้อยละ 5.7 ต่อมาปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 7.8, 9.2 และ 13.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายนตามลำดับ สำหรับเดือนพฤษภาคมที่เป็นช่วงของการเลือกตั้ง ปัจจัยด้านการเมืองปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 19.9 หากวิเคราะห์ปัจจัยด้านการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นจำแนกตามภูมิภาค ช่วงอายุ อาชีพ และรายได้ของเดือนพฤษภาคมเทียบกับเดือนมกราคม 2566 มีรายละเอียดดังนี้
เมื่อพิจารณาตามภูมิภาคพบว่า ประชาชนในพื้นที่
•ภาคกลาง ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.2 เป็นร้อยละ 22.0
•ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปรับเพิ่มจากร้อยละ 6.0 เป็นร้อยละ 22.0
•ภาคเหนือ ปรับเพิ่มจากร้อยละ 6.1 เป็นร้อยละ 21.3
•ภาคใต้ ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.1 เป็นร้อยละ 18.3
•กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับเพิ่มจากร้อยละ 6.7 เป็นร้อยละ 17.1
เมื่อพิจารณาตามช่วงอายุพบว่า ประชาชนที่มีอายุ
• ต่ำกว่า 20 ปี ปรับเพิ่มจากร้อยละ 6.9 เป็นร้อยละ 14.5
•อายุ 20-29 ปี ปรับเพิ่มจากร้อยละ 7.1 เป็นร้อยละ 19.0
•อายุ 30-39 ปี ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.6 เป็นร้อยละ 19.1
•อายุ 40-49 ปี ปรับเพิ่มจากร้อยละ 4.9 เป็นร้อยละ 21.9
•อายุ 50-59 ปี ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.4 เป็นร้อยละ 18.5
•ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ปรับเพิ่มจากร้อยละ 6.2 เป็นร้อยละ 25.4
เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอาชีพ พบว่า
•พนักงานเอกชน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.6 เป็นร้อยละ 26.1
•ผู้ประกอบการ ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.3 เป็นร้อยละ 20.3
•รับจ้างอิสระ ปรับเพิ่มจากร้อยละ 6.1 เป็นร้อยละ 19.6
•พนักงานของรัฐ ปรับเพิ่มจากร้อยละ 6.1 เป็นร้อยละ 18.3
•ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ ปรับเพิ่มจากร้อยละ 9.5 เป็นร้อยละ 18.0
•นักศึกษา ปรับเพิ่มจากร้อยละ 9.0 เป็นร้อยละ 14.8
•เกษตรกร ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.6 เป็นร้อยละ 11.2
เมื่อพิจารณาตามรายได้พบว่า ประชาชนที่มีรายได้
•ต่ำกว่า 5,000 บาท ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.1 เป็นร้อยละ 14.9
•รายได้ 5,000 - 10,000 บาท ปรับเพิ่มจากร้อยละ 7.0 เป็นร้อยละ 18.5
•รายได้ 10,001 - 20,000 บาท ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.4 เป็นร้อยละ 17.9
•รายได้ 20,001 - 30,000 บาท ปรับเพิ่มจากร้อยละ 4.8 เป็นร้อยละ 23.7
•รายได้ 30,001 - 40,000 บาท ปรับเพิ่มจากร้อยละ 7.4 เป็นร้อยละ 25.9
•รายได้ 40,001 - 50,000 บาท ปรับเพิ่มจากร้อยละ 4.1 เป็นร้อยละ 26.4
•รายได้ 50,001 - 100,000 บาท ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.3 เป็นร้อยละ 24.8
•รายได้ 100,000 บาทขึ้นไป ปรับเพิ่มจากร้อยละ 5.9 เป็นร้อยละ 14.3
นายพูนพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมที่จัดทำโดย สนค.ปรับเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคและกลุ่มอาชีพ สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ รองลงมาเป็นกิจกรรมทางการเมืองและการเลือกตั้งที่มีสัดส่วนปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในเดือนนี้ หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนน่าจะรักษาให้ระดับของความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในช่วงเชื่อมั่นได้อย่างต่อเนื่อง