เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 13 มิ.ย. 66 ที่สมาพันธ์ SME ไทย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล กล่าวถึงคลิปเสียงการประชุม ผู้ถือหุ้นสื่อไอทีวี และกระบวนการขัดขาเพื่อไม่ให้นายพิธาขึ้นสู่นายกรัฐมนตรี ในขณะนี้มีข้อมูลหรือยังใครอยู่เบื้องหลัง ว่า ตามที่เคยได้โพสต์ในโซเชียลมีเดีย มีกระบวนการในการที่จะฟื้นไอทีวี รวมถึงรายการข่าวสามมิติที่ได้มีการเสนอข่าวว่ารู้อยู่แล้ว เพราะมีคนส่งข้อมูลมาให้เรื่อยๆ เห็นความแตกต่างระหว่างคนที่ทำเอกสารการประชุม และคลิปเสียงก่อนที่จะมีการเปิดเผยต่อสาธารณชน ตอนนี้คณะทำงานกฎหมายของพรรคก้าวไกลได้ข้อมูลมาเพิ่มเรื่อยๆ ผู้ที่เกี่ยวข้องจากกระบวนการเหล่านี้ที่คอยส่งข้อมูลเข้ามา จากที่เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้ว เราคำนึงถึงฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้น
เมื่อถามถึงกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการหยิบมาตรา 151 มาวินิจฉัยนั้น นายพิธา กล่าวว่า ได้คิดฉากทัศน์ไว้แล้ว เพราะเคยเกิดขึ้นกับนายธนาธรมาก่อน ใช้วิธีเข้าชื่อส.ส. ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญาพอที่จะเดาออกว่าจะมีการปิดฉากทัศน์เกิดขึ้นได้ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมา มีข้อมูลส่งมาที่พรรคเรื่อยๆ ว่ามีความไม่ชอบมาพากล แต่ก็มีการตรวจสอบ ขณะเดียวกันอย่างที่บอก หลักฐานพร้อมเพื่อเข้าสู่กระบวนการ แต่ทุกวันนี้ทางกกต. ก็ยังไม่ได้ติดต่ออะไรมา
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก่อนการแจ้งข้อหาตามมาตรา 151 แต่ของนายพิธาได้มีการตั้งกระบวนการสอบก่อนที่จะส่งศาลวินิจฉัย ทำให้มองว่า ศาลอาจสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีนั้น นายพิธา กล่าวว่าตรงนี้ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรในการโหวตนายกฯ วันนี้ตนได้เห็นข่าวของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ข้อเท็จจริงน่าจะคลาดเคลื่อน จำได้ว่าตอนที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายชัย ชิดชอบ เป็นประธานสภา แต่ตอนที่โหวตเลือกนายกฯ นายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภา ถึงแม้จะหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่ยังสามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้ ไม่ได้เป็นไปตามที่นายวิษณุพูด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับมาตรา 151 ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเข้าสู่กระบวนการโหวตเลือกตนเป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย
เมื่อถามว่า คลิปเสียงการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี กับ เอกสารบันทึกการประชุมที่ไม่ตรงกันอาจจะมีน้ำหนักไม่มากพอ ที่จะมาใช้ตามกฎหมาย หรือลบล้างข้อกล่าวหาการถือหุ้นไอทีวี ของนายพิธาได้นั้น นายพิธา กล่าวว่า ตนต่อสู้ในทุกรายละเอียด ทุกกระบวนความ เวลามีเรื่องเกี่ยวกับหุ้นสื่อขึ้นมา สื่อมวลชนสามารถเทียบฎีกาย้อนหลังได้
เมื่อถามว่า งบการเงินที่มีการยื่นให้กับกรมพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นรายได้ที่มาจากสื่อ จะทำให้นายพิธา เพลี่ยงพล้ำหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ แต่ขอรับไปตรวจสอบดู ตามกฎหมาย ขอให้เป็นเรื่องของคณะทำงานด้านกฎหมาย
เมื่อถามว่า ในที่ประชุมกรรมาธิการของวุฒิสภา มีการพูดถึงมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ หากมีการรับรอง ส.ส.แล้ว จะมีการเปิดช่องให้ ส.ส.หรือ ส.ว. เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกแต่ละสภาฯ เพื่อส่งให้ประธานของสภานั้นๆ ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพได้ นายพิธา กล่าวว่า เป็นสิ่งที่เราคิดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น ที่คิดไว้อยู่ว่าจะเป็นการสกัดกั้น ไม่ให้ตนเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่ว่าจะสกัดกั้นอย่างไร ก็ไม่ทำให้การเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหมดไป
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้เคยมีเจ้าหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร เตือนว่า หากยังถือครองหุ้นไอทีวีอยู่ จะเป็นปัญหา ในอนาคต นายพิธา กล่าวว่า ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่คนใด ทักท้วงหรือเตือนตนเองมาก่อน ขณะเดียวกันตนเองก็ได้ พูดคุยสอบถามกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาโดยตลอดซึ่งก็ไม่มีปัญหา
เมื่อถามถึงการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหลังจากการพ้นตำแหน่ง ส.ส. นายพิธา กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อให้รอบคอบที่สุด ก่อนที่จะยื่น ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุตริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ ภายในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ตามระเบียบของ ป.ป.ช.