ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ความกลัวมีทั้งที่เกิดจากประสบการณ์ที่เจอเข้ากับตัวเอง และที่เกิดจากความเพ้อฝันคิดไปเอง
นารีสมรไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกกลัวผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอรู้แต่ว่าพ่อของเธอเป็นคนดุและอารมณ์เสียบ่อย ๆ มักจะพูดเสียงดังกับแม่เสมอ จนถึงขั้นที่ทะเลาะกันบ่อย ๆ ส่วนพี่ชายของเธอก็เกเรมาก ๆ มักจะแย่งของเล่นไปจากเธอหรือของกินอร่อย ๆ ไปกินก่อนเสมอ โชคดีที่เธอเรียนโรงเรียนหญิงล้วนจนจบชั้นมัธยม แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยเธอก็ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีผู้ชายมากมาย กระนั้นเธอก็คบหาสมาคมกับเพื่อนผู้ชายน้อยมาก จนพวกผู้ชายหาว่าเธอสวยแล้วหยิ่ง จีบยาก และหมดความพยายามไป
ที่บ้านเก่าของเธอมีห้องใต้บันไดเป็นที่เก็บหนังสือและนิตยสารเก่า ๆ ห้องนี้พ่อมักจะเอาไว้ขังลูกที่ซนหรือดื้อ ซึ่งเธอก็เคยถูกเอาไปขังไว้แต่ไม่บ่อยครั้ง แรก ๆ เธอก็ไม่ได้สังเกตอะไร เพราะเอาแต่ร้องไห้ด้วยความกลัวเมื่อต้องอยู่ในความมืดของห้องนั้น มีครั้งหนึ่งพ่อมาเปิดไฟก่อนที่จะเปิดประตูให้เธอออกมา เธอมองไปรอบ ๆ ห้องเล็ก ๆ ที่อับทึบนั้น จึงเห็นว่ามีหนังสืออยู่มากมาย วันต่อมาเธอจึงแอบมาเปิดดู พบว่ามีหนังสือและนิตยสารจัดกองไว้อย่างเป็นระเบียบ หนังสือนั้นเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เหมือนห้องสมุดเล็ก ๆ รวมถึงนิตยสารที่แยกไว้เป็นรายเดือนและปีเรียงรายไปตามลำดับ แม่บอกว่าคุณยายเป็นคนเก็บไว้ และแม่ก็รักษาไว้ต่อมา
มีหนังสือนิยายกองหนึ่งจัดวางไว้มุมห้องข้างในสุด เธอหยิบเอามาอ่านหลายเล่ม ตอนนั้นเธออยู่ชั้นมัธยมต้น เริ่มแตกเนื้อแตกตัวจะเป็นสาว มีเล่มหนึ่งพิมพ์ที่ปกว่าแปลมาจากนักเขียนชาวอเมริกันชื่อดัง เธอเปิดอ่านจนจบเล่มในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ เนื้อหาเป็นเรื่องของหนุ่มเพล์บอยที่ชอบหลอกลวงหญิงสาว คนแรก ๆ ก็เพื่อตอบสนองตัณหาของคนหนุ่ม แต่ต่อมากลับซับซ้อนเป็นเรื่องของการหลอกล่อเอาทรัพย์สินเงินทอง จนสุดท้ายเพื่อแก้แค้นและความสะใจแบบที่เรียกว่าอารมณ์วิปริต พอเธออ่านจบเธอไม่มองผู้ชายอยู่หลายวัน และไม่อยากออกจากบ้านไปไหนมาไหน เพราะกลัวเจอผู้ชายแบบนั้น ซึ่งเธอคิดว่าคงจะมีอยู่อย่างมากมาย
เธออ่านนิยายในแนวนั้นมาอีกหลายเรื่อง และบางทีเธอก็ได้ดูละครโทรทัศน์หลังข่าวค่ำที่แม่ห้ามเด็ก ๆ ดู และไล่ให้ไปนอนก่อนเสมอ แต่เธอก็อ้อนแม่ว่าเธอกลัวผีและขอมานอนกับแม่หน้าทีวีนั้นบ่อย ๆ จนหลัง ๆ แม่ก็ปล่อยให้เธอได้ดูโทรทัศน์ไปด้วย เพราะคงเห็นว่าเธอโตเป็นสาวแล้ว เป็นผู้ใหญ่พอที่จะดูละครเหล่านั้นได้ ความจริงนั้นเธอก็ไม่ชอบนอนคนเดียวจริง ๆ และไม่ได้สนใจละครโทรทัศน์เหล่านั้นเท่าไหร่ จนหลาย ๆ วันเข้า ยามที่เธอสะลึมสะลืออยู่บนโซฟา เธอก็ได้ยินตัวละครทะเลาะกัน บางวันเธอลืมตามาดูอย่างจดจ่อจนจบตอน นาน ๆ เข้าเธอก็ติดละครเหล่านั้นไปพร้อม ๆ กับแม่ ซึ่งเธอก็มานึกได้ภายหลังว่าทำไมเธอจึงกลัวผู้ชายหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนที่มีหน้าตาคล้าย ๆ กับตัวร้ายในละครที่เธอได้ดูในโทรทัศน์ นั่นก็เป็นเพราะภาพฝังใจที่ฝังเข้ามาในความจำของเธอตลอดเวลานั่นเอง
เธอเคยเจอผู้ชายดี ๆ อยู่บ้าง ในคณะที่เธอเรียนก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งชอบแวะเวียนมาเจอเธออยู่บ่อย ๆ ดูนามสกุลแล้วก็น่าสนใจ แรก ๆ เธอก็ไม่ได้พูดคุยอะไรด้วยมากนัก เพราะรู้แต่ว่าเขาให้พี่ ๆ แต่ละคนมาดูแลน้อง ๆ ตามระบบอาวุโส แต่รุ่นพี่คนนี้ดูจะพยายามละลาบละล้วงเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่างของเธอ โดยเฉพาะความกลัวที่ไม่ทราบว่าใครเป็นคนไปบอกรุ่นพี่คนนั้น ซึ่งต่อมารุ่นพี่คนนั้นก็มาบอกเองว่าเขาสังเกตเอาเอง และอยากจะช่วย เขาขอพาเธอกับเพื่อน ๆ ไปกินข้าวและไปเดินซื้อของ แต่เธอก็ปฏิเสธ เขาพยายามชวนเธอเข้าชมรมกีฬาหลายชมรม รวมถึงให้ไปช่วยทำกิจกรรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย แต่เธอก็ปฏิเสธความปรารถนาดีเหล่านั้นไปเกือบทุกครั้ง จะมีบ้างก็ที่เธอได้จ่ายเงินค่าเข้าร่วมกิจกรรมไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปร่วม เมื่อรุ่นพี่คนนี้จบไปแล้ว เขาก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ กลับมาทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ ตำแหน่งสุดท้ายคือทูตในประเทศใหญ่ที่ยุโรป เมื่อมาเจอกันในงานศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยตอนที่เธอเป็นผู้บริหารระดับกลางในกระทรวง และเขาเป็นกงสุลใหญ่แล้ว เขายังแซวเธอว่าเธอไม่เหมาะกับเป็นคุณนายท่านทูต เพราะกระทรวงของเขาต้องรบกับประเทศต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เธอกลัวยิ่งขึ้นไปอีก
ในกระทรวงที่เธอทำงานอยู่ก็มีผู้ชายมาชอบเธอหลายคน ทั้งผู้ชายในกระทรวงเดียวกันและที่อยู่ในต่างกระทรวง รวมถึงพวกนักธุรกิจและภาคเอกชนที่มาติดต่อราชการกับกระทรวงของเธอ บางคนพยายามเลียบ ๆ เคียงเข้ามาทางเพื่อน ๆ และลูกน้องของเธอ ซึ่งเธอก็บอกให้เพื่อน ๆ และลูกน้องของเธอช่วยกีดกันผู้ชายเหล่านั้นออกไป ปดว่าเธอเป็นคนอารมณ์ปกติบ้าง หรือมีปัญหาในเรื่องต่าง ๆ บ้าง ก็เลยทำให้ผู้ชายเหล่านั้นกระจัดกระจายหายไป บางคนที่ตื้อ ๆ หน่อยก็เคยไปมาหาสู่ถึงบ้าน ซึ่งเธอก็ต้องออกแรงบ่ายเบี่ยงหาเรื่องให้ผู้ชายคนนั้นเลิกพยายาม จนถึงขั้นที่ต้องออกปากขับไล่กันตรง ๆ ก็มี
กระทรวงที่เธอทำงานอยู่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องตัวเลขด้านประชากรศาสตร์ต่าง ๆ มากมาย ปัญหาความยากจน ปัญหาสาธารณสุข ปัญหาครอบครัวแตกแยก ปัญหาสุขภาพจิต จนแม้กระทั่งปัญหาระหว่างเพศและวัย บ่อยครั้งที่เธอเอาตัวเลขและสถิติเหล่านี้มาคิด จนถึงขั้นที่นอนไม่หลับและเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมาหลอนติดตาอยู่บ่อย ๆ ยิ่งเธอได้ดูข่าวสารทั้งในหนังสือพิมพ์และทีวี เธอก็ยิ่งเห็นแต่ปัญหาเหล่านั้นมากขึ้น ๆ และเมื่อมาถึงโลกยุคดิจิทัลในปัจจุบัน ข่าวสารเหล่านั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนเหมือนว่าจะท่วมล้นออกมานอกหัวสมองของเธอแล้วลามไหลออกกองถมไปในทุก ๆ อณูอากาศ
ทุกวันนี้ แม้เธอจะเกษียณออกมาจากส่วนราชการที่ “มากปัญหา” แห่งนั้นแล้ว เธอก็ยังไม่หายหวาดผวาในปัญหาต่าง ๆ ที่เธอได้เคยพบเคยอ่าน แม้ว่าจะเบาบางลงเพราะเธอไม่ต้องอ่านมันตั้งแต่เช้าถึงค่ำเหมือนเมื่อก่อน ไม่ต้องพูดหรือนำเสนอรายงานในเรื่องเหล่านั้นอยู่เป็นประจำเช่นในอดีต แต่มันก็ดูเหมือนว่าปัญหาที่ทำให้เธอหวาดกลัวเหล่านั้น ยังมาเฝ้าวนเวียนหลอกหลอนเธออยู่อย่างไม่เลิกรา
หลายคนเป็นห่วงเธอว่าเธออาจจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนเช่นคนอื่น ๆ นั้นไม่ได้ แต่เธอก็ทำได้ ด้วยวิธี “หนามยอกเอาหนามบ่ง” ที่เธอคิดค้นได้เอง
หลักการของเธอก็คือกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เธอไม่เคยใช้ หรือกลัวที่จะนำมาใช้ในอดีต มันทำให้เธอเกิดประสบการณ์ของความกล้าหาญ อย่างที่เธอคิดว่าไม่เคยมีในตัวเธอมาก่อน ในขณะเดียวกันมันก็ช่วยลดความหวาดผวาที่เกาะกินส่วนต่าง ๆ ในตัวเธอมาอย่างแน่นเหนียว ให้คลายเกลียวและจางหายไปทีละเล็กละน้อย ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่หมดสิ้นไป และบางเรื่องบางสิ่งก็ยากแก่การลบเลือนเอาออกไป แต่มันก็ทำให้เธอมีความรู้สึกที่ดีขึ้น และมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
แม้ว่าจะไม่ชนะความกลัวนั้นได้ทั้งหมด แต่เธอก็จะต้องอยู่กับส่วนของความกลัวที่เหลือนี้ให้ได้