วันที่ 7 มิ.ย2566 มีรายงานว่า ที่ห้องประชุมโรงแรมแม่โขง เดลต้า บูทีค อ.แม่สาย จ.เชียงราย นายรุจ ธรรมมงคล อธิบดีกรมกงสุล พร้อมด้วยข้าราชการสถานเอกอัคราชฑูต ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กเเละสตรี และข้าราชการพื้นที่ชายแดนด้าน จ.เชียงราย น.ส.ผกายมาศ เวียร์รา รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย และประธานหอการค้า อ.แม่สาย ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ จ.เชียงราย ฯลฯ ได้จัดประชุมเพื่อบูรณาการความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาคนไทยถูกหลอกไปทำงานและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในประเทศเมียนมา 

ซึ่งที่ประชุมได้สรุปสภาพปัญหาว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มีคนไทยที่หลงเชื่อสื่อสาธารณะหรือโซเซียลมีเดีย ว่าจะมีงานที่ทำให้มีรายได้มากและสวัสดิการดีในเมืองต่างๆ รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ในเขตของชนกลุ่มน้อยและมีกลุ่มทุนจีนเข้าไปลงทุนสถานบันเทิง เมื่อไปทำงานกลับประสบกับความทุกข์ยากต่างๆ เช่น ได้เงินไม่ตรงตามเป้า บังคับให้ค้าประเวณี บริการในคาราโอเกะแต่เมื่อทำยอดเงินไม่ได้ก็ถูกขายต่อ ฯลฯ จึงเห็นควรให้ทุกฝ่ายบูรณาการช่วยเหลือ 

โดยกรณีของมูลนิธิปวีณาฯ พบว่ามีผู้แจ้งว่าถูกหลอกไปทำงานจำนวน 32 ราย สามารถช่วยเหลือกลับมาได้เพียง 5 ราย ส่วนที่เหลืออีก 27 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ รายล่าสุดชื่อ น.ส.แนน ชาว จ.ชลบุรี ถูกหลอกไปทำงานที่เมืองเล้าไก่หรือล็อกกิ่ง รัฐฉาน ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนางปวีณา ได้สื่อสารทางโทรศัพท์ติดต่อด้วยทราบว่าได้ถูกบังคับทำงาน ทำร้ายร่างกายและเสพยาเสพติด ซึ่งนางปวีณาได้รับปากว่าจะพยายายช่วยเหลือให้กลับประเทศไทยให้ได้

ในขณะที่ฝ่ายปกครอง อ.แม่สาย ระบุว่า มีอยู่จำนวน 1 ราย ที่ข้ามไปทำงานแล้วถูกเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 300,000 บาท โดยทางญาติได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ได้รับทราบว่าหากไม่ไถ่ตัวจะถูกนำไปขายต่อและปัจจุบันคาดว่าเหยื่อยังอยู่ที่เมืองเล้าไก่ รัฐฉาน 

วันเดียวกันคณะที่ประชุมได้ประสานกับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) ฝ่ายไทย อ.แม่สาย และ TBC ฝ่ายเมียน มา เพื่อเดินทางข้ามไปหารือกับนายอู่ มิ้น ไหน่ ผู้ว่าการ จ.ท่าขี้เหล็ก  และหน่วยงานในประเทศเมียนมา ติดกับ อ.แม่สาย และเป็นพื้นที่สำคัญที่กลุ่มคนไทยมักข้ามพรมแดนไปก่อนกระจายไปทำงานตามเมืองต่างๆ ในรัฐฉาน เพื่อประสานขอความช่วยเหลือคนไทยที่ตกค้างดังกล่าวต่อไป

โดยนายรุจ กล่าวว่า การช่วยเหลือระยะสั้นคงต้องประสานกับทางการเมียนมาเป็นหลักก่อนส่วนระยะยาวจะมีการประชาสัมพันธ์และร่วมกับอีกหลายหน่วยงานแจ้งเตือนคนไทยให้ทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริงต่อไป

ทางด้าน น.ส.พิมพ์ ไชยสาส์น เลขานุการเอก (รับผิดชอบฝ่ายกงสุล) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง กล่าวว่า ในปัจจุบันงานที่นิยมชักชวนคนไทยไปทำงาน คือ ประเภทคอลเซ็นเตอร์และต่อมาคือโรแมนซ์สแกมเมอร์ สาเหตุที่คนไปทำงานกันมากนั้นพบว่าแม้ประเทศเมียนมาจะไม่ดึงดูดทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีธุรกิจสีเทาในบางพิ้นที่ที่รัฐบาลเมียนมาเข้าไปดูแลไม่ทั่วถึงโดยมีรัฐต่างๆ และเขตปกครองตนเอง โดยเหยื่อที่ถูกหลอกหรืออ้างว่าถูกหลอกมักจะถูกส่งไปทำงานที่งเมืองป๊อก เมืองลา เมืองเล้าไก่ ชเวโก๊กโก่ ฯลฯ และล่าสุดไปถึงเมืองย่างกุ้งแล้ว แรงดึงดูดสำคัญคือการอ้างว่าจะให้เงินจำนวนมากและทำสัญญาจ้างงานเป็นภาษาจีน เมื่อหาเงินไม่ได้ตามเป้าก็จะถูกขายต่อ

ด้านนางปวีณา ได้นำภาพของเมืองเล้าไก่ มาแสดงว่ากำลังมีการก่อสร้างใหญ่โตและเป็นจุดสำคัญที่คนไทยโดยเฉพาะผู้หญิงถูกหลอกไปทำงาน พร้อมระบุว่านับเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันหญิงไทยถูกหลอกให้เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และค้าประเวณีในประเทศเมียนมา ซึ่งสาเหตุเกิดจากกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เข้าไปสร้างอาณาจักรของตัวเองตามเมืองต่างๆ เช่น เมืองป๊อก เมืองเล้าไก่ เมืองเมียวดี ฯลฯ และมีอีกหลายจุด ทำให้การช่วยเหลือคนไทยออกมาต้องใช้วิธีพิเศษโดยประสานกับฝ่ายทหาร 

ทั้งนี้ นางปวีณา ยังได้ยกตัวอย่างเหยื่อหลายราย เช่น มีเด็กหญิงไทยชาว จ.บุรีรัมย์ อายุ 16 ปี ถูกเด็กหญิงอายุ 17 ปีหลอกทางเฟซบุ๊กชักชวนให้ไปเที่ยวชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก ก่อนหลอกพาไปกินข้าวฝั่ง จ.เมียวดี แล้วถูกจับไปทำงานในสถานบันเทิงครบวงจรที่มีซ่องโสเภณีอยู่นับ 10 แห่ง กระทั่งผ่านไปหลายวันเจ้าหน้าที่ไทยช่วยเหลือกลับมาได้ในสภาพสะบักสะบอมจนต้องพาไปฟื้นฟูสภาพจิตใจ และอีกรายปลายปี 2565 มีหญิงไทยถูกหลอกให้ไปทำงานที่เมืองเล้าไก่ชายแดนประเทศเมียนมา-จีนโดยถูกบังคับให้ค้าประเวณีเมื่อไม่ยอมก็ให้อดข้าว 3 วัน ทำร้ายร่างกาย เมื่อยินยอมทำงานก็ให้เสพยาเสพติด กระทั่งได้รับการช่วยเหลือ
กลับด้าน อ.แม่สาย ได้แล้ว ฯลฯ.