จากกรณีตำรวจสืบสวนนครบาล ได้นำกำลังเข้าจับกุมแม่ชีพัฒนา อายุ 69 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดลำปาง ในคดี "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์" มูลค่าความเสียหายกว่า 1,300 ล้านบาท โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่สถานปฏิบัติธรรมในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา


วันนี้ (6 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ชั้น 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บช.น.) กลุ่มผู้เสียหายในคดีแชร์ Storage City (จับแม่ชี 1,300 ล้าน) ได้นำกระเช้าเข้าขอบคุณพล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. และทีมงานชุดจับกุม พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดี เพื่อนำไปขยายผลต่อเนื่อง พร้อมวิงวอนให้สืบนครบาลจัดการคดีนี้ให้แล้วจบ เพราะไม่เชื่อมั่นดีเอสไอแล้ว หลังจากที่สามารถจับกุมแม่ชีพัฒนา อายุ 69 ปี ได้สำเร็จ 

ตัวแทนผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) เพราะได้ทวงถามในเรื่องของการหมายจับมาตลอดระยะเวลา 2 ปี ซึ่งทางดีเอสไอยืนยันว่า ได้ออกหมายจับไปแล้ว แต่ตนก็ไม่เห็นหมายจับในระบบ จึงทวงถามไปอีกครั้ง ซึ่งทางพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ได้บอกว่าได้ส่งสำนวนไปให้อัยการแล้ว ผู้เสียหายจึงสอบถามไปยังอัยการ คำตอบว่าทางดีเอสไอ ยังไม่ได้ส่งสำนวนมาให้ ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกถอดใจ ก่อนที่จะมาเห็นเพจสืบนครบาลทาง facebook จึงได้ติดต่อไปเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งสืบนครบาลสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้หลังจากที่กลุ่มผู้เสียหายทักไปขอความช่วยเหลือเพียงไม่นาน ตนจึงรู้สึกขอบคุณทางสืบนครบาลที่ใส่ใจ และทำงานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับชมอย่างไม่ขาดปากว่าสืบนครบาลนั้นเก่งจริง และทำงานได้เร็วมาก

ทางด้าน พลตำรวจตรี ธีรเดช เปิดเผยว่า ตนรู้สึกดีใจแทนชุดทำงานที่กลุ่มผู้เสียหายเข้ามาขอบคุณ ทำให้มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้นไปอีก ส่วนการดำเนินหลังจากนี้ ทางสืบนครบาลจะรับเรื่องไปประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพราะทางสืบนครบาลไม่สามารถรับผิดชอบคดีนี้ได้แต่เพียงผู้เดียวตามที่ผู้เสียหายร้องขอได้

ทั้งนี้ จากกรณีที่มีประชาชนกว่า 3,531 ราย ถูกบริษัทแห่งหนึ่ง ร่วมกันหลอกลวงชักชวนให้เข้าร่วมการลงทุนในการให้บริหารเช่าพื้นที่บน Cloud Storage โดยเสนอผลตอบแทนให้แก่ผู้ร่วมลงทุนในอัตราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน ลักษณะแชร์ลูกโซ่ มูลค่าความเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการจับกุมตัว นายศุภสรร กรรมการบริษัท  และประสาน ปปง.ติดตามทรัพย์สินของผู้ต้องหา เพื่อเป็นการเยียวยาให้กับผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวง หลังจากนั้นในวันที่ 3 มิถุนายน 2566 ได้มีการจับกุมตัว นางพัฒนา อายุ 69 ปี (แม่ของนายศุภสรร) ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยสามารถจับกุมตัวได้ภายในสถานปฏิบัติธรรมนาโสกวิปัสสนา ฐิตธัมโม ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา