วันนี้ (31 พ.ค.66) เวลา 09.00 น. กระทรวงคมนาคม จัดสัมมนาครั้งที่ 2 การนำเสนอผลการศึกษา/แถลงผลงาน โครงการศึกษาการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบการเดินทางเพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางบก เผยว่า กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ได้ดำเนินโครงการศึกษาการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงรูปแบบการเดินทาง เพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าและสนามบินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สำหรับเป็นแผนแม่บทให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปรับปรุง เพื่อยกระดับการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเข้าถึงง่ายสำหรับคนทุกกลุ่ม สำหรับการสัมมนาในวันนี้จะได้รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผลการศึกษาจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเชื่อมต่อการเดินทาง ซึ่งจะนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ไปปรับปรุงให้ผลการศึกษามีความสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อให้การบริการประชาชนดียิ่งขึ้นต่อไป

ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (M-MAP) จำนวนเส้นทางทั้งสิ้น 14 สาย รวมระยะทาง 553.41 กิโลเมตร ปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว 7 สี 11 เส้นทาง ระยะทาง 211.94 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 สาย ระยะทาง 135.80 กิโลเมตร และโครงการที่จะดำเนินการในอนาคตอีกระยะทาง 204 กิโลเมตร การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคด้านการขนส่งตามอารยสถาปัตย์ (Universal Design) และการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนหลักให้เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนรอง จะช่วยยกระดับการขนส่งให้สามารถรองรับและอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ และเด็ก สามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้อย่างสะดวกและปลอดภัย อีกทั้งการจัดให้มีบริการระบบ Feeder เพื่อรวบรวมประชาชนที่อยู่ห่างจากแนวเส้นทางรถไฟฟ้ามาส่งยังสถานีรถไฟฟ้าถือเป็นการจูงใจประชาชนให้เปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพื่อช่วยลดปัญหาจราจร

 

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมมีนโยบายสนับสนุนการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การสนับสนุนให้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ในการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะในปัจจุบันรถโดยสารสาธารณะได้เริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้รถที่พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดมลพิษทางอากาศ และปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากภาคการขนส่ง และลดต้นทุนด้านพลังงานในภาคการคมนาคมขนส่งได้อย่างยั่งยืน