จากกรณีของ "ชิฟู" แมวที่มีน้ำหนักตัวถึ ง 8.5 กิโลกรัม ซึ่งตกลงมาจากชั้น 6 ของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง จนทำให้กระจกด้านท้ายของรถยนต์แตกทะลุเป็นรู ส่วนอาการของ "ชิฟู" ปลอดภัยดี และไม่มีส่วนไหนหัก มีเพียงเล็กหลุด 2 นิ้ว และ มีเลือดที่จมูกเล็กน้อย ต่อมาชาวเน็ตได้แสดง ความเป็นห่วงสภาพจิตใจเจ้าของที่ต้องแยกกันอยู่กับแมว ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด “ศ. ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” แชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมให้ความรู้ระบุว่า... แมวนั้นไม่ได้ปลอดภัยจากการตกจากที่สูง ตามที่หลายคนเข้าใจ

เคสนี้ถือเป็นความโชคดีมากที่ตกลงมาแล้วไม่ตาย เพราะส่วนใหญ่หากแมวตกจากตึกชั้น 7 ลงมา จะมีโอกาสทั้งตายหรือบาดเจ็บ

โดยอาการบาดเจ็บที่มักพบจากการที่แมวตกจากที่สูงนี้ ได้แก่ กระดูกหัก ส่วนใหญ่มักเป็นกระดูกขากรรไกร เพราะคางแมวกระแทกกับพื้นตอนที่ตกลงมา (โดยกรณีที่พบบ่อยที่สุดคือ กระดูกขากรรไกรหักและฟันร้าว)

อาการบาดเจ็บที่ขา ภาวะบาดเจ็บที่ข้อต่อ เส้นเอ็นฉีกขาด หรือขาหัก อาการบาดเจ็บภายใน โดยเฉพาะที่ปอด

ซึ่งทำให้บรรดาเจ้าของแมว เริ่มตระหนักกับปัญหานี้เพิ่มขึ้น และต้องปรับปรุงห้องพักที่อยู่ตามตึกสูง ให้มีความปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยง จนกลายเป็นธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟูอย่างมากในสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม เคยมีการวิจัยจากนายสัตวแพทย์ Jared Diamond ที่ทำงานในโรงพยาบาลสัตว์ที่ New York ได้ศึกษาค้นคว้าและเก็บข้อมูลเชิงสถิติจากการตกตึกของแมว โดยได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาไว้ในวารสาร Nature เอาไว้อย่างน่าสนใจ ว่า

– จากการศึกษาแมวกว่า 115 ตัว จากการตกตึกจากชั้นที่ 2 ถึง ชั้นที่ 32

– มีแมวจำนวน 11 ตัว เสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บช่วงอกหรือช็อคตาย และแมวที่รอดชีวิต มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจนถึงบาดเจ็บสาหัส

– โดยแมวที่ตกจากชั้นที่ 7 ถึง ชั้นที่ 32 ส่วนใหญ่กลับรอดชีวิตทั้งหมด !?

– ผลสรุปการวิจัยพบว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีทักษะการเอาตัวรอดแต่กำเนิด ซึ่งมีชื่อว่า “การกลับตัวกลางอากาศ”

– แมวสามารถจัดระเบียบร่างกายของตัวเอง ระหว่างที่อยู่กลางอากาศได้ โดยแมวจะชะลอความเร็วระหว่างตก ได้ด้วยการกางแขนขาที่มีขนนุ่มฟูเพื่อต้านแรง ไม่ว่าแมวจะตกจากชั้นไหนก็ตาม ความเร็วปลายจะอยู่ที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งไม่มากพอที่จะทำให้น้องแมวเสียชีวิตได้

– แต่แมวที่ตกจากตึกชั้นที่ต่ำกว่า 7 ชั้นลงมา จะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่า (แมวที่ตกจากตึกที่สูงกว่า 7 ชั้น) เนื่องจากแมวไม่มีเวลามากพอ ที่จะจัดระเบียบร่างกายตัวเองให้ทัน !!

(อธิบายเพิ่ม) การที่แมวตกจากตึกสูงไม่เกิน 7 ชั้นมีโอกาสบาดเจ็บขาหัก หรือบาดเจ็บมากกว่าตกจากที่สูงกว่านั้น เพราะเวลาที่สิ่งต่างๆ ตกจากตึก มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า ความเร็วปลาย (terminal velocity) ซึ่งก็คือความเร็วที่สุดที่เกิดขึ้นได้เพราะมีแรงต้านอากาศ ทำให้สิ่งที่ตกลงมา ไม่ตกเร็วไปกว่านี้ (100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

และที่ความเร็วปลายนี้ แมวจะรู้สึกเหมือนตัวมันไร้น้ำหนักและผ่อนคลาย (คล้ายกรณีของนักกระโดดร่ม เมื่อตกลงมาถึงที่ความเร็วปลาย) ทำให้สัญชาตญาณของแมว บอกให้มันกางขาทั้งสี่ขาออก (เหมือนนักกระโดดร่มที่กางแขนขา)

ส่งผลให้เพิ่มแรงต้านอากาศ ความเร็วขณะที่แมวร่วงจะช้าลง ขณะที่มันก็จะเตรียมตัวลงสู่พื้นแบบกระจายแรงกระแทกไปให้ทั่วร่างกายอันยืดหยุ่นของมัน และเนื่องจากมันมีน้ำหนักตัวค่อนข้างน้อย จึงไม่ทำให้แมวตาย

…แต่ถ้าแมวตกจากตึกเตี้ยๆ ด้วยระยะทางที่สั้นเกินไป มันกลับไม่สามารถเปลี่ยนท่ากลางอากาศได้ทัน ร่างกายจึงกระแทกกับพื้นได้ (ทั้งหมดนี้ เป็นสมมติฐานที่นักวิจัยคาดเอาจากสถิติการบาดเจ็บของแมวตกตึก ไม่ได้มีการทดลองเอาแมวจริงๆ โยนจากตึก)

ดังนั้น การที่แมวตกตึก จึงไม่ใช่แค่เรื่องขำๆ เล่นๆ ที่คิดว่ามันจะรอดชีวิตได้ง่าย ๆ เพียงเพราะคิด ตึกที่อยู่นั้นไม่ได้สูงอะไรมากมาย (เพราะมันพลิกกลับตัวไม่ทัน เลยกระแทกพื้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้) และอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน แมวหลุดออกไปนอกระเบียง อย่างกับข่าวนี้ก็เป็นได้

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้อีก การเลี้ยงแมวบนตึกสูงจึงต้องทำการปิดประตูหรือกระจกที่เชื่อมไปบริเวณระเบียง

ถ้าไม่มีใครอยู่ห้อง ควรจะจับแมวไว้ในกรง และ ถ้าพบว่าแมวตกตึก ตกจากที่สูง ให้รีบนำไปพบสัตว์แพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อให้ตรวจวินิจฉัยร่างกายโดยละเอียด”