จากกรณีการสืบสวนสอบสวน ข้อเท็จจริงที่ชาวบ้านซึ่งเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตร อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น ถูกถอนเงินออกจากบัญชี รวมถึงการคนที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ตายแล้วได้เงินบ้าง ไม่ได้เงินบ้าง ทั้งยังมีชาวบ้าน เป็นหนี้ไม่รู้ตัวนั้น โดยมีผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมหลายสิบล้านบาท ตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วอย่างต่อเนื่อง

ความคืบหน้าวันที่ 30 พ.ค.2566 ที่สภ.เปือยน้อย พ.ต.อ.เดชาธร ดีมี ผกก.สภ.เปือยน้อย  เปิดเผยว่า ขณะนี้มีสมาชิก เข้าแจ้งความร้องทุกข์ กล่าวโทษกับตำรวจแล้ว จำนวน 80 ราย เป็นเงิน 18 ล้านบาท ซึ่งทางสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ในฐานะคนดูแลเงินของสมาชิกและเป็นผู้เสียหายในกรณีดังกล่าว นำเอกสาร หลักฐานของสมาชิกจำนวน 16 คน ความเสียหาย 12 ล้านบาทเข้าแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับคนทำเอกสารถอนเงินของสมาชิกทั้ง 16 คนและตำรวจก็ทำการจับกุมคนทำผิดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การเงินของสหกรณ์เปือยน้อยดำเนินคดีแล้วในข้อหา ลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งขณะนี้ถูกนำตัวฝากขังที่ศาลจังหวัดพลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังจากดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายดังกล่าวแล้ว ตำรวจก็ยังไม่สิ้นสุดการสืบสวน ยังให้สหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ทำการหาเอกสารหลักฐานในส่วนของผู้เสียหายที่เหลือ เพื่อเอาผิดกับผู้ต้องหารายดังกล่าวเพิ่มเติม เพราะต้องทำการสืบสวนสอบสวนเพิ่มว่านอกจากผู้ต้องหารายนี้ ยังมี่คนอื่นร่วมลงมือด้วยหรือไม่ เพราะตำรวจเชื่อว่า เจ้าหน้าที่การเงินคงไม่กล้าทำคนเดียว จึงต้องสืบสวนเพิ่มเติมอีกทั้งยังมีกรณีชาวบ้านที่เป็นสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ที่มีคณะกรรมการชุดเดียวกับคณะกรรมการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ดำเนินการนั้น มีชาวบ้านมาแจ้งความร้องทุกข์ จำนวน 26 คน มาแจ้งว่าญาติที่เป็นสมาชิกฌาปนกิจตายแล้ว ได้เงินบ้าง ไม่ได้เงินบ้าง  และทุกรายขอให้ตรวจสอบการทำงานของประธานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์และผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย

ทั้งนี้ ผกก.สภ.เปือยน้อย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ยังมีชาวบ้าน ที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิกเข้าแจ้งความว่าได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของคนในสหกรณ์ที่สร้างบัญชีเงินกู้ ทั้งที่ชาวบ้านไม่ได้กู้ แต่กลายเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัว เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ให้ทำการสอบสวนผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ เนื่องจากชาวบ้านสงสัยว่า การทำบัญชีเงินกู้ ผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ฝ่านสินเชื่อ ร่วมกันทำ กรณีชาวบ้านเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวนั้น เข้าแจ้งความแล้ว สิบกว่าราย ตำรวจต้องทำการรวบรวมเอกสารหลักฐาน รวมทั้งทำการสืบสวนเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อทุกคน ตามเอกสารหลักฐานที่ชาวบ้านนำมาแจ้งความ เพื่อจะได้ทราบว่า ใครทำ ใครเขียนสัญญาเงินกู้ รวมถึงต้องพิสูจน์ลายมือของคนที่ร่วมทำเอกสาร  หากพบว่าใครเป็นคนทำ ก็จะแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลรายดังกล่าว และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกคน

ขณะเดียวกันนายแดนณรงค์ แก้วศรีทา อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 179 ม.2 บ้านวังหิน ต.สระแก้ว อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น  อดีตประธานสภาเทศบาลตำบลเปือยน้อย และเป็นกรรมการผู้จัดการ หจก.อิงฟ้าการโยธา  และเป็นเพื่อนสนิทกับนายสมศักดิ์ แก้วอาษา ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย  ได้ นำเอกสาร หลักฐาน เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เปือยน้อย เพื่อเอาผิดนายสมศักดิ์ แก้วอาษา ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ที่รับเงิน 200,000บาทแต่ไม่ออกใบสำคัญการรับเงินให้ จนทำให้กลายเป็นหนี 500,000 บาท  และทำให้โฉนดที่ดินที่ค้ำประกันเงินกู้หายไป

โดย นายแดนณรงค์ กล่าวว่า  เป็นเพื่อนกับนายสมศักดิ์ ตั้งแต่เรียนชั้นประถม และเรียนมัธยม พอเรียนจบต่างก็แยกย้ายกันไปเจริญเติบโตตามแนวทางของใครของมัน ปี 2555 ขาดสภาพคล่องทางการเงิน  จึงมาพบนายสมศักดิ์ ผู้จัดการสหกรณ์ฯ เพื่อขอกู้เงินก้อนแรกจากทางสหกรณ์จำนวน 200,000 แสนบาท จากนั้นก็ยืมก้อนที่ 2 จำนวน 200,000 บาท ซึ่งขณะเข้าไปยืมนั้น นายสมศักดิ์ ผู้จัดการสหกรณ์ฯ ให้เซ็นเพียงชื่อในเอกสารไว้เท่านั้น จึงทำการเซ็นเอกสารให้และรับเงินไป  และทุกอย่างก็เงียบไป จนกระทั่งปี 2558 ได้รับการติดต่อจากนายสมศักดิ์ว่า คณะกรรมการไม่ยอม เพราะตนเป็นเพื่อนสนิทกับผู้จัดการสหกรณ์ ได้ยืมเงินมากกว่าคนอื่น ผู้จัดการจึงขอให้ตนให้เงิน 200,000 บาท มาปิดยอดหนี้ครึ่งหนึ่ง และถ้าปิดครึ่งหนึ่ง จะทำการปรับบัญชีหนี้ให้เหลือ 200,000 บาท  จึงรีบหาเงินไปปรับยอดหนี้ จำนวน 200,000 บาท โดยไปจ่ายให้ผู้จัดการสหกรณ์ที่สหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย  หลังได้รับเงิน ผู้จัดการก็บอกว่ามีธุระด่วน ต้องรีบเดินทาง  ทำธุระเสร็จจะรีบกลับมาทำเอกสารปรับยอดหนี้ให้  ตนก็ปล่อยไป เพราะไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาภายหลัง



“เวลาผ่านไป 3 เดือน ยังไม่ได้ใบสำคัญการจ่ายเงิน และขอดูเอกสารนการปรับสภาพหนี้ จึงได้เข้าไปพบกับผู้จัดการ สหกรณ์การเกษตรเปือยน้อยที่สำนักงาน  ซึ่งผู้จัดการแจ้งว่าจะให้ปรับก็ต้องมีใช้สำคัญการจ่ายเงิน  ให้นำใบสำคัญการจ่ายเงินมาแสดง  แต่ตนไม่มีเพราะวันจ่ายเงิน ผู้จัดการรีบไปธุระ จึงไม่ได้ออกใบเสร็จให้ ซึ่งสรุปได้ด้วยการเข้าใจว่าผู้จัดการไม่ได้ปรับสภาพหนี้ให้ และหนี้ก็ยังคงอยู่ที่ 400,000 บาท จึงเดินออกจากสหกรณ์ ไปปรึกษากับอดีตรองผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อดีตรองผู้จัดการจึงแนะนำให้ไปสมัครเข้ากองทุนฟื้นฟูลูกหนี้ของรัฐบาล เพราะกองทุนฯดังกล่าวจะช่วยใช้หนี้ให้ลูกหนี้ครึ่งหนึ่ง  แต่ไปสมัครแล้วทางกองทุนฯไม่รับสมัคร จึงเดินทางกลับ  จากนั้นจึงหาทางติดต่อกับกองทุนฟื้นฟูลูกหนี้  แต่เป็นกองทุนที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม  ก็สมัครได้ และทางกองทุนได้ขอเอกสาร หลักฐานการเป็นหนี้กับทางสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ขอมาตั้งแต่ปี 2561  จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้  ทางกองทุนฯจึงยังไม่สามารถดำเนินการเรื้องหนี้ให้ตนได้”

นายแดนณรงค์  กล่าวอีกว่า เมื่อกองทุนขอเอกสารกับทางสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อยไม่ได้ ตนในฐานะลูกหนี้ จึงได้เข้าไปทวงถามที่สหกรณ์  ซึ่งผู้จัดการแจ้งว่า ไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกองทุนฯ จึงยังไม่ได้จัดการให้ จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน ที่เกิดปัญหาใหญ่ในสหกรณ์ฯ ตนเกรงว่าเรื่องตัวเองจะถูกดำเนินการไปในทางที่ไม่ดี  จึงเข้าไปขอคัดสำเนาโฉนดที่ดินและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหนี้ตนเองในสหกรณ์ฯ เจ้าหน้าที่ในสหกรณ์แจ้งว่าต้นโฉนดที่ดิน ตนเอาออกไปแล้ว จึงตอบไปว่า ยังใช้หนี้ไม่หมด และไม่ได้เอาออกไป  เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นให้ ก็ไม่พบโฉนดที่ดิน  หลังจากทราบว่าโฉนดที่ดินของตนหาย  จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความกับตำรวจเอาผิดกับผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ในกรณีไม่ออกใบสำคัญการรับเงินและไม่ปรับสภาพหนี้ให้ รวมถึงเอาผิดกรณีที่ทำโฉนดที่ดินของตนหาย  ให้ตำรวจทำการสืบสวนข้อเท็จจริงว่าโฉนดที่ดินหายไปไหน ใครเอาไป