นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ละครใกล้จบ..."เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า...พฤติกรรมพรรคเพื่อไทยหักหลังแย่งชิงกินรวบทั้งประธานสภาและนายกฯ เป็นเล่ห์เพทุบายเอารัดเอาเปรียบเพื่อน จะลงท้ายด้วยการถูกจัดการไปด้วยเช่นกัน
นายจตุพร มองว่า สถานการณ์ของพรรคร่วม 8 พรรคตั้งรัฐบาลนั้น พรรคเพื่อไทยแสดงพฤติกรรมต้องการกินรวบทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรและนายกฯ โดยพรรคก้าวไกลจะไม่เหลืออะไรเลย พร้อมทั้งจะถูกสลัดให้เป้นฝ่ายค้านอีกด้วย
ขณะนี้พรรคเพื่อไทยเร่งเกมจะเอาประธานสภาให้ได้ เนื่องจากใกล้วันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องรับรอง ส.ส. อีกทั้งเชื่อว่าสถานภาพของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะถูกรับรองให้เป็น ส.ส.ไปก่อน แล้ว กกต.จึงยื่นศาล รธน. กรณีถือหุ้น ไอทีวี ดังนั้น ทางเลือกของนายพิธา มีเพียงถูกศาลสั่งให้ยุติปฎิบัติหน้าที่หรือให้ทำหน้าที่ ส.ส.ไปก่อนได้
สิ่งที่สำคัญค่อนข้างแน่ชัดคือ นายพิธา จะไม่ได้ทำหน้าที่ในวันโหวตเลือกประธานสภา หรือเมื่อถูกสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่แล้ว ย่อมลามไปถึงพรรคก้าวไกลไม่มีตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ ด้วย ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายกินรวบเสียเอง จึงต้องเร่งเกมเอาประธานสภาเสียเอง
“ความจริงแล้ว พรรคเพื่อไทยไม่ออกอาการความอยากก็ได้ โดยยืนรอก็จะได้ตำแหน่งนายกฯ อยู่แล้ว แต่ต้องเร่งเอาประธานสภา เพราะถ้าเกิดนายพิธา ถูกสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส. พรรคเพื่อไทยยิ่งไม่มีสิทธิ์ได้ประธานสภา จึงต้องรีบชิงเอามาให้ได้ก่อน”
นอกจากนี้ยัง เห็นว่า การผลักให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านนั้น สถานการณ์เริ่มบ่งชัดขึ้นตามลำดับ ว่าพรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายไปจับมือเกือบทุกพรรคในฝ่าย 188 เสียงตั้งรัฐบาล ดังนั้น ละครการเมืองนี้ รอเพียงจะถึงวันต้องจัดการทางการเมืองอยู่แล้ว และ 312 เสียงจะจบลงในวันที่มีการเลือกประธานสภาเมื่อพรรคเพื่อไทยฮุบชิงมาไว้กับตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จ
ขอบคุณรายการ:ประเทศไทยต้องมาก่อน