เดือนพฤษภาคมปีนี้ต่างจากทุกปีที่ผ่านมา เพราะมีการเลือกตั้งระดับชาติที่จบไปไม่นาน และถึงช่วงเวลาที่พรรคการเมืองและผู้แทนที่ได้รับเลือกจะได้ทำตามคำสัญญา นำนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ไปบริหารประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากที่สุด และก่อนจากกันในเดือนนี้ขอใช้ควันหลงจากการเลือกตั้งกล่าวถึงอีกหนึ่งวันสำคัญประจำเดือนอย่าง "วันงดสูบบุหรี่โลก" 31 พฤษภาคม ผ่านเทรนด์การค้นหาบนกูเกิ้ล (Google Trend) ดูความสนใจของชาวไทยเกี่ยวกับ "บุหรี่" ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่าราคาบุหรี่ในร้านสะดวกซื้อ 2566 ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ที่ถูกค้นหามากที่สุด ตามด้วยกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า 2566 มาเป็นอันดับที่สอง นอกจากจะสะท้อนความจริงที่ว่าคำจำกัดความของวันงดสูบบุหรี่โลกไม่ได้หยุดอยู่แค่บุหรี่มวนอีกต่อไป และได้ขยายสู่บุหรี่ไฟฟ้าตามความสนใจของผู้คนในสังคมและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคแล้ว ทั้งสองหัวข้อนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จและความคลุมเครือของนโยบายควบคุมยาสูบไทยในปัจจุบันด้วย

ในวันงดสูบบุหรี่โลก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ในไทยได้กำหนดประเด็นการรณรงค์ต่างไปจากขององค์การอนามัยโลก โดยกำหนดคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลกสำหรับประเทศไทยประจำปีนี้ว่า "บุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษ เสพติด อันตราย" แสดงให้เห็นจุดยืนที่ชัดเจนในการต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าผ่านกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามจำหน่ายที่มีมาตั้งแต่ปี 2558 และเน้นย้ำถึงอันตรายที่อาจเกิดกับผู้ใช้งาน การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดควบคู่ไปกับการรณรงค์ผ่านสื่อทุกแขนงให้สังคมรับรู้ถึงอันตรายและสร้างความหวาดกลัวกับภัยร้ายต่อสุขภาพเป็นแนวทางที่หน่วยงานรัฐของไทยใช้เพื่อลดจำนวนผู้สูบบุหรี่เสมอมา สำหรับบุหรี่มวนนั้น มาตรการเพื่อลดความต้องการบริโภคในประเทศถูกนำมาใช้ เช่น การห้ามสื่อสารและโฆษณา การกำหนดอายุผู้ซื้อผู้ขาย การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์และภาพคำเตือน รวมถึงมาตรการด้านภาษี ที่ทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มขึ้นกว่า 6 - 8 บาทต่อซองในปลายปี 2565 และเป็นเหตุผลที่ทำให้หัวข้อราคาบุหรี่ 2566 ถูกค้นหาเป็นอันดับหนึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา การออกมาตรการควบคุมที่หลากหลายครอบคลุมรอบด้านเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะจากองค์การอนามัยโลกด้านการสร้างเสริมสุขภาพผ่านการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

แม้มาตรการเพื่อลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ของไทยจะได้รับการยอมรับจากนานาชาติ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับไม่เป็นไปในทางเดียวกัน จากผลสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร พ.ศ. 2564 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าในประเทศไทยมีผู้สูบบุหรี่ที่อายุมากกว่า 15 ปี กว่า 9.9 ล้านคน คิดเป็น 17.4% ของประชากรในช่วงอายุนี้ ซึ่งลดลงจากการสำรวจในปี 2560 เพียง 1.7% เท่านั้น นอกจากนี้กว่า 52% ของผู้สูบบุหรี่ก็ไม่คิดจะเลิกบุหรี่ หากพิจารณาหัวข้อกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า 2566 ที่ถูกค้นหาเป็นอันดับที่สองในมุมมองของการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องจะพบว่ามีผลลัพธ์ที่ไม่ต่างจากบุหรี่มวนแบบเผาไหม้ปกติมากนัก เพราะจากรายงานฉบับเดียวกันของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าในปี 2564 ในกลุ่มประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าถึง 0.8% จากเดิมในปี 2560 ที่มีเพียง 0.13% เท่านั้น ชัดเจนว่ามีการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นแม้การนำเข้าและการจำหน่ายยังเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย

การใช้มาตรการที่ "ตึง" เกินไป ยังเปิดช่องว่างให้ตลาดใต้ดินเติบโต โดยเฉพาะกับบุหรี่มวนที่ถูกกฎหมาย จากรายงานประจำปีของการยาสูบแห่งประเทศไทยปี 2565 ระบุว่า บุหรี่ผิดกฎหมายทั่วประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 70% และสัดส่วนการบริโภคบุหรี่ผิดกฎหมายเพิ่มถึง 10.3% ในปี 2564 สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สำหรับบุหรี่ไฟฟ้าที่กฎหมายยังมีความคลุมเครืออยู่มากไม่เพียงกระทบกับผู้ใช้ชาวไทย แต่ได้สร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติจากกรณีดาราสาวไต้หวันที่มาท่องเที่ยวและถูกรีดไถจากตำรวจในท้องที่เนื่องจากพกพาบุหรี่ไฟฟ้า จนประเด็นกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นที่ถกเถียงในวงกว้างเพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วผู้ใช้มีความผิดตามกฎหมายหรือไม่และมีโทษอย่างไร

นโยบายที่ไม่ก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเช่นนี้ เหตุใดจึงยังได้รับการยกย่องจากองค์กรระดับโลก คำตอบคือนโยบายควบคุมยาสูบของไทยทุกข้อถูกสร้างขึ้นจากแนวทางภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ (Framework Conventional on Tobacco Control: FCTC) ขององค์การอนามัยโลกนั่นเอง โดยในปีนี้ไทยในฐานะประเทศภาคีสมาชิกทจะส่งตัวแทนเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคี (Conference of the Parties หรือ COP) ครั้งที่ 10 ที่ประเทศปานามาด้วย ตามแนวทางที่อนุสัญญาฯ มอบแก่ประเทศสมาชิกนั้น นโยบายควบคุมยาสูบจะถูกแบ่งเป็น 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ การลดอุปสงค์ การลดอุปทาน และการลดอันตรายจากยาสูบ หากดูจากมาตรการควบคุมบุหรี่ของประเทศไทยที่มีอยู่ปัจจุบัน จะเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับการลดอุปสงค์และการลดอุปทานมากที่สุด ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าผลลัพธ์ยังไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าที่ควร

ในช่วงการเลือกตั้งก่อนหน้านี้มีแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีจาก 7-8 พรรคการเมืองที่สนับสนุนให้มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมาย แทนที่การซื้อขายใต้ดินแบบเสรีในทุกวันนี้ จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ตัวแทนประเทศไทยจะได้นำเสนอปัญหาที่เกิดขึ้นจริงพร้อมแนวทางปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ไทยจะได้รับการยกย่องจากเวทีสาธารณสุขระดับโลกอีกครั้ง และเพื่อแสดงให้ประชาชนในประเทศเห็นว่าหน่วยงานรัฐก็ให้ความสำคัญกับเสียงของพวกเขาเช่นกัน เพราะประชาชนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายควบคุมยาสูบแม้ว่าพวกเขาจะเป็นหรือไม่เป็นผู้สูบบุหรี่ก็ตาม เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของสุขภาพอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงด้านเศรษฐกิจและความปลอดภัยด้วย ถึงเวลาแล้วที่ต้องเลิกยึดติดกับคำยกย่องจากนานาชาติที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวก แล้วหันมาฟังเสียงจากสังคมว่าพวกเขาต้องการอะไรจากนโยบายควบคุมยาสูบที่ใช้ได้จริงในประเทศไทยตามคำสัญญาที่พรรคการเมืองต่างๆ ได้ให้ไว้ก่อนการเลือกตั้งนี้