เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 27 พ.ค.66 ที่ สภ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น ได้มีชาวบ้านกว่า 10 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เดชาธร ดีมี ผกก.สภ.เปือยน้อย  เพื่อแจ้งความเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง หลังถูกเจ้าหน้าที่สหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย จำกัด ปลอมแปลงเอกสารทำให้เป็นหนี้โดยไม่รู้ตัว  ทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้ ตั้งแต่รายละหมื่นบาทจนถึงล้านกว่าบาทซึ่งภายหลังทราบความต้องการของชาวบ้าน ผกก.สภ.เปือยน้อย ได้ให้ทุกคนเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสภ.เปือยน้อย

พ.ต.อ.เดชาธร กล่าวว่า โดย ผกก.ได้มอบแนวทางการปฏิบัติให้กับพนักงานสอบสวนว่า กรณีที่ชาวบ้าน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อยนั้น  ให้รับแจ้งความแยกเป็นกรณีไป เช่น เดือดร้อนในเรื่องของเงินออมทรัพย์ เงินหายจากบัญชี ก็ให้แจ้งต่อร้อยเวร เพื่อทำการสอบปากคำ ลงบันทึกประจำวัน และรับคำร้องทุกข์ กรณีเงินหายจากบัญชี แล้วต้องการคำเนินคดี กับสหกรณ์ฯโดยตรง ให้แจ้งต่อร้อยเวร เพื่อสอบปากคำลงประจำวันรับคำร้องทุกข์ และกรณีเงินไม่ได้หาย แต่เบิกไม่ได้ ให้ลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน

"กรณีเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ ถ้าสมาชิกยังไม่เสียชีวิต ให้ไปแจ้งไว้ที่เทศบาลตำบลเปือยน้อย  แต่ถ้าเสียชีวิตแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินหรือรับยังไม่ครบ ให้ลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน และกรณีเงินหุ้น ถอนเงินหุ้นไม่ได้ ให้ลงบันทึกประจำวัน เป็นหลักฐาน และกรณีหนี้เงินกู้ ที่ไม่ได้มีการขึ้นกู้ แต่กลายเป็นหนี้ ให้มาแจ้งความลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน"

ขณะที่ นายสำลี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 78 ปี อยู่ ม.7 บ้านหัวขวา ต.เปือยน้อย อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ได้รับความเดือดร้อนจากปลอมแปลงเอกสาร และหลักฐานต่างๆของบุคลากรในสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ทำให้เป็นหนี้ไม่รู้ตัว จำนวน 800,000 บาท บวกดอกเบี้ยและค่าปรับ รวมเป็นเงิน 1,012,530.06 บาท  เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า  เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ตามบัญชีเลขที่ 26/003 ทะเบียน 00000103 กลุ่มที่ 26  ในปี 2556 เคยนำโฉนดที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับทางสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อยจำนวน 400,000 บาท

"พ่อและลูกหลานหาเงินมาปิดยอดหนี้จำนวน 400,000 บาท และไถ่ถอนเอาโฉนดที่ดินออกมาเป็นที่เรียบร้อยในปี 2559 และถือว่าจบหนี้กันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน และไม่มีการทำธุรกรรมอะไรกับทางสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อยอีก จนกระทั่งวันที่ 24 พ.ค.2566 หรือเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ขับรถไปรับที่ที่นา แจ้งว่า นายสมศักดิ์ (ขอสงวนนามสกุล) เป็นผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ให้มารับ มีธุระจะคุยด้วย  จึงได้นั่งรถกับเจ้าหน้าที่ไปพบกับผู้จัดการ สหกรณ์ในที่ทำงาน โดยเจ้าหน้าที่พาอ้อมขึ้นด้านหลังสำนักงาน เนื่องจากด้านหน้ามีชาวบ้านอยู่จำนวนมาก เมื่อผู้จัดการพบหน้า ผู้จัดการ พูดว่า  “พี่ครับผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ผมเอาชื่อพี่กู้เงิน จำนวน 800,000 บาท แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะหนี้ที่เป็นอยู่ ผมจะรับผิดชอบและจะจัดการใช้หนี้ให้พี่ทุกบาท และผมขอร้องพี่ พี่อย่าบอกเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจสอบ และอย่าบอกชาวบ้าน อย่าแจ้งความเด็ดขาดนะพี่"

นายสำลี กล่าวต่ออีกว่า ได้ยินคำพูดของผู้จัดการแล้ว รู้สึกไม่สบายใจและไม่รับปากอะไรทั้งสิ้น เดินทางกลับบ้าน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เล่าให้ภรรยาและลูกๆ ฟัง ทุกคนจึงลงความเห็นว่า ต้องแจ้งให้คณะกรรมการที่ลงพื้นที่มาตรวจสอบทราบเรื่อง และต้องแจ้งความเอาผิดกับผู้จัดการสหกรณ์ฯ รวมถึงเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องทุกคน เพราะไม่ทราบว่า จะมีชาวบ้านอีกกี่รายที่ตกเป็นเหยื่อของผู้จัดการสหกรณ์ กับพวก  หลังแจ้งเรื่องต่อคณะทำงานของสหกรณ์จังหวัดขอนแก่นเป็นที่เรียบร้อย จึงได้เข้าทำการขอเอกสารหลักฐานจาก ที่ทำการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย จนพบรายเอียดตามเอกสาร ที่ระบุเป็นหนังสือเตือนให้ชำระหนี้ สัญญาเงินกู้เลขที่ 1016400250 สัญญาที่ 31/3/2565 จำนวนเงิน 800,000 บาท ดอกเบี้ย 184,923.50 บาท ค่าปรับ 27,606.56 บาท รวมเป็นเงิน 1,012,530.06 บาท ในขณะที่ตนถือสมุดที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ที่มีรายละเอียดการชำระหนี้ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2559 จึงไม่มีหนี้หรือพันธะหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์อีก จึงมาแจ้งความเอาผิดกับผู้จัดการสหกรณ์ฯ รวมถึงเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องทุกคน

ด้านนางวงเดือน อายุ 51 ปี อยู่ ม.3 บ้านหัวฝาย ต.เปือยน้อย อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น กล่าวว่า เคยเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย อยู่ในกลุ่มที่ 0011 และเคยกู้เงินของสหกรณ์ไปจำนวน 100,000 บาท แต่ได้ชำระหนี้ไปจนหมดแล้ว รวมถึงถอนหุ้นจากสหกรณ์ฯไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  และขาดการเป็นสมาชิกสหกรณ์ไปหลายปีแล้ว กระทั่งมีเจ้าหน้าที่จากสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น มาทำการตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นในสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย จึงได้พบบัญชีลูกหนี้สหกรณ์ ซึ่งมีชื่อตนเป็นหนี้อยู่ด้วยจำนวน 1,526,057.99 บาท  หลังทราบเรื้องจึงเดินทางเข้าพบกับ นายสมศักดิ์ แก้วอาสา เป็นผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเปือยน้อย ในที่ทำงาน 

"ซึ่งนายสมศักดิ์ แจ้งว่า มีคนในสำนักงานสหกรณ์ทำการทุจริตและปลอมแปลงเอกสารการกู้เงิน และรู้ว่าเป็นใคร จะติดตามคนสร้างปัญหาหนี้ดังกล่าว มารับผิดชอบและแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ให้ ฟังแล้วไม่สบายใจ เพราะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์ และคนที่ทำหน้าที่ผู้จัดการ ทำไมไม่มีความรอบคอบการกู้หรือทำธุรกรรมต่างๆ ชาวบ้านต้องมาเซ็นเอกสารด้วยตัวเอง แต่ผู้จัดการกลับละเลย และปล่อยผ่าน จึงคิดว่าไม่มีความโปร่งใสและบริหารจัดการไม่ได้เรื่อง จนเกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง จึงมาแจ้งความกับตำรวจให้ทำการสืบสวนจับกุมผู้จัดการสหกรณ์รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีตามกฎหมาย"