ไม่มีใครหยั่งรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแผนที่จะสู้ ยังไงต่อ แต่ที่แน่ๆ คือ “ลุงตู่” ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ตามประสา ทหารเก่า ที่เป็นทหารเสือราชินี ที่มีความจงรักภักดี นั่นคือ ความมั่นใจของแกนนำ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่สัมผัสได้จากคำพูด และท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์
โดยเฉพาะวันที่พบปะว่าที่ 36 ส.ส. ของพรรค ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ขอให้ นิ่งๆ พูดให้น้อย และรอเวลา
สัญญาณหนึ่งที่ชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่วางมือทางการเมืองคือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันผ่าน แถลงการณ์ของพรรคว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยังคงเดินหน้าทำงานกับพรรคต่อไปในฐานะ "ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค" เพื่อเสริมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติให้แข็งแกร่งและเป็นพรรคหลักในการปกป้องและค้ำจุนสถาบันหลัก ทั้ง 3 ของประเทศ ตามเจตนารมณ์ และอุดมการณ์ของพรรค เป็นความหวัง ให้คนไทยทุกรุ่น ที่รักชาติรักแผ่นดินในแนวทางเดียวกันต่อไป
สยบกระแสข่าว จะลาออก และวางมือ การเมืองหลังจากที่ ธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรค รทสช. เคยให้สัมภาษณ์หลังการเลือกตั้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงจะพอแล้ว ในทางการเมือง
และ พล.อ.ประยุทธ์ ยังพอใจที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นพรรคใหม่ และลงเลือกตั้งสมัยแรกได้มาถึง 36 ส.ส. มีเสียงประชาชนสนับสนุน 4,700,000 เสียงแสดงว่าไม่ได้เดินตามลำพังจึงคิดที่จะสู้ต่อ เพราะหากพรรคนี้ ไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ หรือถอยไปอยู่เบื้องหลัง พีระพันธุ์ ก็เหมือนอยากจะถอดใจเช่นกัน จนมีกระแสข่าวว่าจะลาออกแล้ว ให้ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อปรับภาพลักษณ์ ให้เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่
แต่ในที่สุดทั้ง พีระพันธุ์ และ เอกนัฏ ก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนระดับผู้บริหารพรรค แต่จะมีการปรับการทำงานคล้ายๆจะรีแบรนด์ พรรคใหม่ ซึ่งเป็นการสอดรับกับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป
ท่ามกลางกระแสข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ในการเมือง โดยไม่ออกไปรับ “ตำแหน่งสำคัญอื่น” ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองอย่างเช่น ที่ เคยคาดการณ์กันแล้ว
ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีการประเมินสถานการณ์ว่านอกจากพรรคก้าวไกล จะจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ไม่อาจฝ่าด่านต่างๆได้แล้ว พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคอันดับ 2 ก็อาจจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน โดยให้จับตามองเรื่องการยุบพรรค ที่ไม่ใช่มีแค่พรรคก้าวไกลเท่านั้นที่อยู่ในข่ายแต่พรรคเพื่อไทย ก็ด้วยเช่นกัน
จนจะนำมาสู่สูตรการจัดตั้งรัฐบาล ขั้วที่ 3 คือ พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ของพล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง แต่อาจต้องยอมให้ อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี 70 ส.ส. เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ
ในขณะเดียวกันก็อย่ามองข้าม “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ บูรพาพยัคฆ์ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ที่แม้จะมีรายงานข่าวจากบ้านป่ารอยต่อฯ ว่า พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร กลับมาพูดคุยกันหลังแพ้พ่ายในศึกเลือกตั้ง จนมีเสียงในฝ่ายสนับสนุน บ่นเสียดายว่า ถ้าไม่แยกพรรคกัน ก็น่าจะได้ส.ส. มากกว่านี้ เพราะหาก 2 พรรคมารวมกันก็จะได้ถึง 76 ส.ส. มากกว่าพรรคภูมิใจไทยด้วยซ้ำ
ซึ่งประเด็นนี้กำลังเป็นที่จับตามองว่าหากเป็นการจัดตั้งรัฐบาลสูตรที่สามในพรรคร่วมรัฐบาลเดิมพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตรจะรวมกันเป็นหนึ่งหรือไม่ เพราะจะได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคภูมิใจไทย สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้
แต่นายอนุทิน พรรคภูมิใจไทย และ โดยเฉพาะ เนวิน ชิดชอบ ผู้มีบารมีของพรรค จะยินยอมหรือไม่ที่จะให้พล.อ.ประยุทธ์ หรือพล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ
แต่มีข่าวสะพัดจากพรรคพลังประชารัฐว่า พล.อ.ประวิตรจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ว่าจะเป็นสูตร 2 ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย หรือสูตร 3 พรรค ร่วมรัฐบาลเดิม เพราะพล.อ.ประวิตรต้องการจะแยกภาพลักษณ์ไม่ต้องการให้เหมารวมเนื่องจากมีการปลุกกระแสบีบ2 ลุง ออกจากการเมืองแต่พล.อ.ประวิตร ยืนยันที่จะทำงานการเมือง และเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต่อ ยังไม่เคยคิดที่จะลาออก หรือยุบรวมกับพรรคเพื่อไทย ตามที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้
มีรายงานข่าวว่ากระแสข่าวที่พรรคพลังประชารัฐจะยุบรวมกับพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นไอเดียของระดับแกนนำพรรค ที่มีการพูดคุยกันจริง เพราะหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะต้องให้พล.อ.ประวิตร ลาออกไปจากพรรคพลังประชารัฐ หรือไปอยู่เบื้องหลัง แล้ว ยุบรวมสส. ทั้งหมดมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย ที่จะทำให้มีสส. มากขึ้นจน กลายเป็นพรรคอันดับ 1 มี ส.ส. มากกว่าพรรคก้าวไกล
แม้ว่า พล.อ.ประวิตรและแกนนำพรรคพลังประชารัฐจะออกมาปฏิเสธว่าเป็น เฟคนิวส์ แต่ทว่า สูตรนี้ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตหาก พล.อ.ประวิตร พร้อมที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยมากกว่าที่จะหันมาจับมือกับพล.อ.ประยุทธ์ และพรรคร่วมรัฐบาลเดิม เพราะ พล.อ.ประวิตรได้จับมือเป็นแพคเกจ พรรคพลังประชารัฐ พรรค ภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ไว้ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งแล้ว ในการร่วมรัฐบาลกัน
นี่จึงอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ได้ประกาศลาออก หลังจากที่เคยลั่นวาจาว่า ถ้าได้ ส.ส. ต่ำกว่า 50 จะลาออก เพราะ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็ลาออกจากหัวหน้าพรรคไปแล้ว เฉลิมชัย จึงต้องอยู่เพื่อจัดการเรื่องการร่วมรัฐบาลและการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรคคนใหม่ก่อน
ในเวลานี้ เค้าลางของความแตกแยกของพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย ในการที่จะร่วมรัฐบาล เรื่องการแย่งชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ที่ใครๆก็รู้ว่าวันหนึ่ง มันต้องเกิดขึ้นแบบนี้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นไปตามแผน แล้วก็จะนำไปสู่การที่ก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ และเป็นทีของพรรคเพื่อไทย ที่มีข่าวว่าได้เจรจาในการจัดตั้งรัฐบาลรอไว้เรียบร้อยแล้ว
หากเป็นไปตามเกมของพล.อ.ประวิตร พรรคเพื่อไทย อาจจะยอมไม่เป็นนายกฯ แต่ยกเก้าอี้นายกฯให้พล.อ.ประวิตร ตามกระแสข่าวเรื่องดีล ที่เชื่อมโยงกับการกลับประเทศของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ก็คงถูกวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านอย่างหนัก จากผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
แต่อย่ามองข้าม พล.อ.ประยุทธ์ และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพล.อ.ประวิตร ด้วยว่าจะหันมาร่วมมือกับพล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่
แต่ตอนนี้ ต้องแกล้งตาย เสมือนจะยอมแพ้ ด้วยกลยุทธ์ แค่นิ่ง….รอดู…และรอเวลาเท่านั้น