นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความเห็นถึง MOU จัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมือง ที่ประกอบด้วยเนื้อหา 23 ข้อ และ 5 แนวทางปฏิบัติว่า หอการค้าไทย มองว่าเป็นการทำการบ้านและเตรียมความพร้อมของชุดนโยบายต่างๆที่เชื่อว่าจะออกมาได้ทันทีหลังจากกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ ซึ่งส่วนนี้มีความสำคัญมากในแง่การสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ในการเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศแบบไร้รอยต่อ
ทั้งนี้หอการค้าไทย มองเนื้อหา MOU เป็น 3 มิติสำคัญในการวางนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ ดังนี้
1.มิติด้านเศรษฐกิจ
เห็นได้ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ผ่านประเด็นการร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม การจัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ การกำหนดค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเซียน และเวทีระหว่างประเทศ ตามกรอบความร่วมมือต่างๆ โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือพหุภาคี ซึ่งส่วนนี้จะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกได้มากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม เพิ่มการเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และแหล่งน้ำในภาคการเกษตร การตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งการอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็น และเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงิน และสร้างแต้มต่อให้กับ SME การยกเลิกการผูกขาด และส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า ลดค่าครองชีพประชาชน และสร้างความมั่นคงทางพลังงาน หรือแม้แต่การแก้ไขกฎหมายประมง ซึ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เกิดการลงทุนและการจ้างงานเพิ่ม ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยทะยานส่วนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้
2.มิติด้านสังคม
เราเห็นการวางแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมโดยรวม ทั้งการเตรียมผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม กระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ การระบบสวัสดิการดูแลประชาชน การแก้ไขปัญหายาเสพติด การยกระดับระบบสาธารณสุข เพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ การปฏิรูประบบการศึกษา และการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero)
3. มิติด้านการเมือง
ส่วนนี้จะเป็นการปฏิรูปการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของภาครัฐ ซึ่งท้ายที่สุด จะช่วยลดความขัดแย้งของสังคมได้มากขึ้น ทั้งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐ การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม
สำหรับ 5 แนวทางบริหารประเทศนั้น หอการค้าไทยเชื่อว่าส่วนนี้จะเป็นการวางกรอบการทำงานของแต่ละพรรคการเมือง ผ่านฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อให้พรรคร่วมรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างชัดเจนภายใต้ข้อตกลงของร่วม เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ภาคเอกชนจับตามองจากนี้คือ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลที่สามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อยไม่ยืดเยื้อ เพื่อให้ประเด็นต่างๆที่ทุกพรรคได้ตกลงกันไว้ผ่าน MOU สามารถนำไปขับเคลื่อนในเชิงนโยบาย และการปฏิบัติได้จริงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการเข้ามาเร่งจัดทำงบประมาณประจำปี เพื่อให้แผนงานและโครงการต่างๆของประเทศมีความต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก
โดย ส.ส.313 เสียง จาก 8 พรรคร่วมรัฐบาลนั้น จุดแข็ง คือมีเสียงข้างมากในสภาฯ ขณะเดียวกันจุดอ่อนคงยังเป็นความไม่แน่นอนว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ซึ่งก็คงต้องรอเสียงเพิ่มเติม ทั้งจาก ส.ส. และ ส.ว.มาทำให้เกิดความแน่นอน เชื่อว่าวันนี้ ประเด็นจาก MOU ที่ออกมา น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และทำให้ทั้ง ส.ส. และ ส.ว.บางส่วนให้การสนับสนุนเพิ่มเติม จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้