เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 พ.ค.66 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พาผู้เสียหายร้องเรียนกับสื่อมวลชน กรณีที่ผู้เสียหาย 3 คนซึ่งถูกหลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจหอมแดงและกระเทียมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท เมื่อปี 2564 แต่คดีไม่มีความคืบหน้า จึงได้ติดต่อหาทนายความชื่อดัง ให้ช่วยเหลือทำคดีดังกล่าวให้ เมื่อต้นปี 2565 โดยมีการนัดหมายไปพบกันที่บ้านของทนายความและมีการตกลงนัดทำหนังสือสัญญาว่าจ้างเป็นทนายความโดยมีค่าจ้างเป็นเงินรวม 660,000 บาท และให้จ่ายเงินครึ่งแรกในวันทำสัญญาในวันที่ 21 มกราคม 2565 และให้จ่ายเงินอีกครึ่งในวันขึ้นศาล ซึ่งผู้เสียหายก็ยอมจ่ายเงินครึ่งแรกให้เพราะเห็นเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์และสื่อโทรทัศน์ต่างๆ 

กระทั่งวันขึ้นศาล ปรากฏว่าทนายความคนดังกล่าวกลับไม่ได้มาว่าความด้วยตนเองกลับให้ทนายความ 2 คนมาว่าความให้ และเมื่อขึ้นศาลวันดังกล่าวเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วทนายความคนดังก็ปรากฏตัวและให้ไปถ่ายรูปด้วยกันที่หน้าศาล และเมื่อสอบถามว่าเหตุใดจึงไม่ขึ้นไปว่าความด้วยตนเองทนายความคนดังกล่าวอ้างว่ากำลังสืบทางลับให้อยู่ กระทั่งคดีดังกล่าวดำเนินเรื่อยมาก็ไม่พบทนายความคนดังกล่าวมาขึ้นว่าความให้ตามที่ระบุในสัญญาไว้ จนกระทั่งถึงฉันพิพากษาปรากฏว่า ศาลพิพากษาให้ถอนฟ้องจำเลยที่ 4 และ 5 ส่วนจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง สามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้เพียงแค่ 2 คนคือจำเลยที่ 1 และ 2 อีกทั้งยังไม่ได้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือขอเงินคืนให้

หนึ่งในผู้เสียหายเปิดเผยว่า รู้สึกเสียความรู้สึกที่ทนายคนดังกล่าวไม่ยอมมาว่าความด้วยตนเองจนทำให้เกิดความเสียหายดังกล่าว และเมื่อทวงถามไปยังทนายความคนดังกล่าวเรื่อยมา ก็ได้รับคำตอบบ่ายเบี่ยงว่าจะดำเนินการให้และอยู่ระหว่างการสืบหาข้อมูลพยานหลักฐานเพิ่มเติมด้วยตนเอง และไม่รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับนายอัจฉริยะ

ทั้งนี้ เมื่อสอบถามไปยังทนายความทั้งสองคนที่มาว่าความในชั้นศาลให้ก็ทราบว่าทนายทั้งสองคน เป็นทนายความจบใหม่และไม่ได้อยู่ในสังกัดของทนายความคนดังกล่าว โดยได้รับการว่าจ้างจากทนายคนดังให้มาทำคดีดังกล่าวในค่าจ้างเพียง 60,000 บาท ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตนเองถูกหลอก อีกทั้งทนายความคนดังยังมีการข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องตนเองหากกลุ่มผู้เสียหายเปิดโปงเรื่องดังกล่าว

ด้านนายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า คดีนี้ ตนเองได้เข้ามารับดูแลคดีดังกล่าวต่อจากผู้เสียหายจนกระทั่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถออกหมายจับจำเลยทั้ง 5 คนได้ อีกทั้งอัยการยังให้นำสำนวนคดีและการฟ้องของคดีของทนายคนดังมารวมกับสำนวนคดีที่ตนเข้ามาดูแล เนื่องจากคดีดังกล่าวสอนกับคดีที่อัยการกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งขณะนี้ทางชมรมยังได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายรายอื่นๆ ว่าทนายความคนดังกล่าวมีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกันอีก 3 เคสอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง

โดยหลังจากนี้จะให้ผู้เสียหายไปร้องต่อสภาทนายความเพื่อดำเนินการเอาผิดเกี่ยวกับมรรยาททนายความ เพื่อเอาผิดตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่กลัวหากทนายคนดังจะฟ้องร้องเอาผิดตนเองในฐานะหมิ่นประมาทหรือข้อหาอื่นๆ เพราะตนเองมีข้อมูลพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่พร้อมชี้แจงในชั้นศาล