วันที่ 23 พ.ค. 66 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ให้สัมภาษณ์ ถึงการเข้าหารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ว่า คณะกรรมการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ได้ไปประชุมกับสภาอุตสาหกรรม มีประเด็นที่หารือกันหลายเรื่อง ในเรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การสนับสนุน SME การหาแรงงานให้ตรงกับความต้องการของต่างประเทศ รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของค่าแรง การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 

โดยพรรคก้าวไกลยืนยันว่าการขึ้นค่าแรงขั้นเพื่อบรรเทาทุกข์ ยังจะมีอยู่แน่นอน พรรคก้าวไกลหนุนที่ 450 บาท/วัน ส่วนพรรคเพื่อไทยหนุนที่ 400/วัน แต่ขณะเดียวกันไม่ได้นำเสนอต่อสื่อมวลชน ก็คือคำนึงถึงเรทของคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจผู้ประกอบการ บางรายที่สนับสนุนสมทบเงินประกันสังคม 6 เดือนแรก หรือการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 2 เท่า 2 ปี สามารถที่จะหักภาษีได้ คือสิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ หรือแม้แต่การลดภาษีของธุรกิจ SME จาก 20 เปอร์เซ็นต์เป็น 15 เปอร์เซ็นต์จาก 15 เปอร์เซ็นต์ เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดคือภาพใหญ่ที่มีการประชุมกัน แต่ไม่ได้ผ่านสื่อมวลชน จึงเป็นการสร้างความเข้าใจผิดว่า เมื่อเป็นรัฐบาลผสม ค่าแรง 450 อาจจะทำไม่ได้ทันที ซึ่งไม่เป็นความจริง เรากำลังเดินหน้ารับฟังผู้ที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบ แต่ยังยืนยันกับประชาชนว่า ค่าแรงขั้นต่ำมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้น และต้องขึ้นอย่างสม่ำเสมอโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์กันทั้ง 2 ฝั่ง 

นายพิธาได้ตอบคำถามเรื่องค่าแรง 450 บาทของพรรคก้าวไกล ว่า มีหลักการว่าที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้มีการขึ้นค่าแรงบ่อยครั้ง นับตั้งแต่สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงอาศัยการคำนวนค่าเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมถึงประสิทธิภาพของแรงงานที่เพิ่มขึ้นจำนวนค่าแรงควรอยู่ที่ประมาณ 425-440 บาทต่อวัน พรรคก้าวไกลจึงได้เสนอ 450 บาท ควบคู่กับมาตรการดูแลผู้ประกอบการไปด้วย

“ยืนยันไม่ได้ขึ้นค่าแรงตามใจตัวเอง ขึ้นแบบมีหลักการ หลักสากล ตอนนี้ยังมีเวลาก่อนคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รับรอง ดังนั้นในเวลา 2 เดือนนี้ ผมจึงต้องเดินสายทำงานให้รอบคอบ” นายพิธา กล่าว