นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 1/2566 บริษัทฯมีรายได้รวม 3,210.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,978% พลิกกำไร 152.09 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 62.75 ล้านบาท และมีรายได้รวม 154.51 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่คือ 3,017.38 ล้านบาทเป็นผลมาจากธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เนื่องจากในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ จำหน่ายรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ 563 คัน ดังนั้นจึงเป็นผลโดยตรงต่อรายได้ในการประกอบธุรกิจของกลุ่มกิจการ รวมทั้งส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในบริษัทร่วม สำหรับไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2566 มีส่วนแบ่งกำไร จำนวน 139.23 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 มีส่วนแบ่งขาดทุน 22.38 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จำนวน 161.61 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีการขายสินค้าให้กับลูกค้า ส่งผลให้บริษัทฯรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ขณะที่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ยังไม่มีการขาย เนื่องจากโรงงานเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ในช่วงทดสอบไลน์การผลิต
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ NEX ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนที่จะผลิตรถทั้งหมด 21 รุ่น ทั้งที่เป็นรถกระบะไฟฟ้า รถตู้ไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า และอื่นๆ ในระยะยาว NEX ตั้งเป้ายอดขายรถบรรทุก 90% และขอส่วนแบ่งทางการตลาดรถกระบะปีละ 5 หมื่นคัน ขณะที่กลุ่มลูกค้ามีทั้งผู้ประกอบการ กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ และส่วนราชการต่างๆ ทั้งนี้เราได้เห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 4/65 ที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 66 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภายในเดือน ก.ย.นี้ NEX กำหนดที่จะส่งมอบ EV bus ทั้งหมด 2,140 คัน และจะมีการขาย EV bus ให้กับกลุ่มลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มผู้ประกอบการรถทัวร์ ที่ผ่านมา NEX ได้เดินหน้าขยายช่องทางการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ผ่านตัวแทนจำหน่าย พร้อมทั้งเตรียมก่อตั้งโรงงานผลิตมอเตอร์รถไฟฟ้าขึ้นในประเทศไทย เพื่อลดการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ซึ่งสอดรับเงื่อนไขการจัดซื้อของภาครัฐ และรองรับนโยบายการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนรถ EV ของโลก
"NEX มองว่าปีนี้ภาพรวมของตลาดรถ EV จะเติบโตแบบก้าวกระโดด และการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทนของ NEX จะทำให้เพิ่มโอกาสในการขาย ทั้งยังทำให้เรามีความพร้อมในการเดินหน้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มกำลัง ซึ่งปัจจุบันโรงงานผลิตและประกอบรถไฟฟ้ามีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 9,000 คันต่อปี ในปี 66 คาดว่าจะสามารถผลิตและส่งมอบรถไฟฟ้าได้ทุกประเภท ทั้งรถบัสไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า รถตู้ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า รวมไปถึงรถหัวลากไฟฟ้า ดังนั้นเชื่อว่ารายได้ของ NEX ปีนี้จะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่าเป้าอย่างแน่นอน"