เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ได้ตอบข้อซักถามสื่อมวลชน ว่า พวกเราทุกพรรคขอขอบคุณทุกเสียงที่ประชาชนมอบให้ เสียงของประชาชนทุกเสียงคือเสียงแห่งความหวัง คือเสียงแห่งความเปลี่ยนแปลง หน้าที่รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่ออำนาจของประชาชน และเราจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน ทุกพรรคประกาศจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนร่วมกัน ดังนี้ 1.ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนตนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากตามกลไกการเลือกตั้งของประชาชน 2.ทุกพรรคจะร่วมกันจัดตั้งข้อตกลงร่วม หรือ MOU เพื่อแสดงแนวทางการทำงานร่วมกัน และสาระร่วมของทุกพรรค ซึ่งจะแถลงอีกครั้งในวันที่ 22 พฤษภาคม 3.ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ
นายพิธา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สำหรับจุดยืนเรื่องมาตรา 112 นั้น ก่อนการเลือกตั้งมีการดีเบตและพูดคุยเรื่องนี้กันเยอะแล้ว ซึ่งแต่ละพรรคคงมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องนี้แล้ว พื้นที่นี้คงไม่เหมาะที่จะพูดคุย ส่วนกรณีที่เมื่อวานนี้ (17 พฤษภาคม) พรรคภูมิใจไทย ออกแถลงการณ์ว่าจะไม่ร่วมโหวตตนเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นเรื่องของพรรคภูมิใจไทย ทั้ง 8 พรรคที่อยู่ตรงนี้ มีความชัดเจนและมีความเป็นเอกภาพในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว
เมื่อถามถึง ความกังวลถึงการสนับสนุนจากส.ว. นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีความห่วงใย ขณะนี้เรากำลังจัดทำเรื่องของคณะทำงานที่จะใช้เจรจาในการเข้าร่วมรัฐบาล และคณะทำงานที่จะมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจ เปลี่ยนผ่านพลังของประชาชน ซึ่งขณะนี้ยังมีเวลา ซึ่งเราจะมีการปรึกษาหารือกันอีกครั้ง
เมื่อถามถึง แนวทางเมื่อหากเข้าสู่สภาแล้ว ไม่สามารถโหวตนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีได้ นายพิธา กล่าวว่า เรามีการวางแผนไว้หลายรูปแบบ ว่าในอนาคตจะมีฉากทัศน์แบบไหนเกิดขึ้นบ้าง แล้วฉากทัศน์แบบนี้เราจะบริหารจัดการสถานการณ์อย่างไร ฉะนั้นเราสามารถที่จะลดความเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล ย้ำว่าเราไม่ได้กังวลอะไร ปล่อยให้คณะทำงานตามที่ตนกล่าวไปข้างต้นบริหาร ในเรื่องของคะแนนที่เหมาะสมและสานต่อในนโยบายที่เหมาะสม นอกจากนี้ จะต้องพิจารณาจุดยืนนโยบายของพรรคที่จะมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับเรา
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าไม่กังวลเรื่องของคะแนนเสียงใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า "ยืนยันว่าผ่านครับ และคิดว่าวันนี้ 313 เสียง ณ วันนี้เป็นความปกติของระบอบประชาธิปไตยที่เพียงพอ ฉะนั้น การที่เราจะมานั่งคิดหรือบอกว่า เราจะต้องได้ 376 เสียง ที่จะต้องหาเพิ่มเติม ยังไม่เป็นประเด็นสำคัญในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม อย่างที่ได้เรียนไปแล้วว่า มีหลายฉากทัศน์ที่เราอาจจะคาดไม่ถึง เราอาจจะต้องหากรอบเจรจาเพื่อหาตัวเลข เพื่อที่จะหาความแน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และลดความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ฉะนั้น ไม่ต้องกังวลใจ มั่นใจว่าจัดตั้งได้แน่นอน"
เมื่อถามย้ำอีกว่า หากไม่ผ่านและมีการโหวตรอบ 2 จะมีการปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า หากเราไม่มีโร้ดแมพหรือฉากทัศน์ที่ชัดเจน ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็คงกังวล แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่กังวล เพราะเรามีโรดแมป ฉากทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน หากฉากทัศน์ที่หลุดออกมาเป็นเรื่องที่เราคาดไม่ถึง เป็นไปไม่ได้ เพราะเราคาดมาก่อนแล้วว่า หากเกิดกรณีเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปได้ด้วยดี
เมื่อถามถึง กระแสข่าวว่า เมื่อวานนี้มีการดีลกระทรวงสำคัญๆ บ้างแล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า เราเอาประชาชนและนโยบายเป็นที่ตั้ง แล้วค่อยว่ากันว่าจะมีกระทรวงไหน ที่สามารถทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพได้ และเป็นองคาพยพเดียวกันได้ ซึ่งคงจะต้องมีการพูดคุยกันต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา
เมื่อถามย้ำว่า สุดท้ายต้องมีการต่อรองแบ่งกระทรวงที่จำเป็นและสำคัญเป็นของตนเอง และมีการคุยกับพรรคเพื่อไทยแล้วจริงหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ที่เราคุยกันไม่ได้เน้นไปที่กระทรวง ทบวง กรม แต่เราเน้นที่วาระของประชาชน ที่เรามานั่งตรงนี้ก็เพราะมีแนวทางใกล้เคียงกัน ซึ่งหากเราสามารถตกลงกันได้ เรื่องที่ใครจะคุมกระทรวงไหนก็เป็นเรื่องที่ปลายเหตุ แต่หากเราเอากระทรวงเป็นที่ตั้ง ตนคิดว่าประชาชนจะไม่ได้ประโยชน์อะไร
เมื่อถามว่า มีความกังวลถึงเรื่องต่างๆ ที่จะมีคนไปร้องเรียนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า "ไม่กังวลครับ แต่ก็ไม่ประมาทเช่นเดียวกัน เข้าใจดีว่าการเมืองมีมิติใดบ้าง เราก็ต้องพร้อมที่จะรับได้ทุกมิติ เมื่อเราเป็นคนสาธารณะก็ต้องยอมรับการตรวจสอบ ขณะเดียวกันหากมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เราก็ต้องพร้อมรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น"