วันที่ 18 พ.ค.66 สภาผู้แทนนิสิตและนักศึกษา 29 สถาบัน ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง เรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภา และว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน เคารพเจตนารมณ์แห่งประชาชน ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า...
สืบเนื่องจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไป ในวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่าน มา ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้สรุปภาพรวมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยรายงานผลอย่างไม่เป็น ทางการ ผลปรากฏว่า พรรคก้าวไกล ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด เป็นจำนวน 152 ที่นั่ง ประกอบด้วย ส.ส. แบบแบ่งเขต จำนวน 113 ที่นั่ง และส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 39 ที่นั่ง อีกทั้ง พรรคก้าวไกลได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับ การรวบรวมเสียงพรรคการเมืองอื่น ๆ ฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ผลรวมจำนวนที่นั่งจากการรวมเสียง ดังกล่าว มีคะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งนี้ เพียงแค่เสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ยังไม่เพียงพอต่อการเลือกนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก การประชุมรัฐสภา ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 500 คน และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 250 คน โดยการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 272 กล่าวคือ จะต้องมีการนำเสียงของ ส.ว. เข้ามาร่วมลงมติ ดังนั้น จึงต้องมีการลงมติรวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา คือ จำนวน 376 เสียง เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมา สื่อต่าง ๆ ได้มีการนำเสนอมุมมองของ ส.ว. บางส่วน เกี่ยวกับการลงมติ เลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งบางท่านได้ชี้แจงว่า ตนอาจลงมติไม่เห็นชอบนายกรัฐมนตรีที่มาจากเสียงข้างมาก ของสภาผู้แทนราษฎร หรืออาจลงมติงดออกเสียง ซึ่งมีผลในทางปฏิบัติไม่ต่างไปจากการลงมติไม่เห็นชอบ ทัศนคติเช่นนี้ ของ ส.ว. บางท่าน จึงเป็นที่น่าเป็นห่วงของประชาชนจำนวนมาก ที่ได้แสดงเจตนารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนผ่านการใช้ สิทธิเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรที่มีนโยบายตอบสนองความต้องการของตนเอง
ในฐานะผู้แทนนิสิต และนักศึกษาจำนวนมาก จึงอยากเรียนถึงท่าน ส.ว. ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่คิดจะ ทำเช่นนี้ว่า ท่านจงอย่าได้ลืม ว่าสิทธิ์ในการออกเสียงลงมติเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศชาติที่ท่านถืออยู่ในกำมือ ด้วยความสำคัญตัวผิดนั้น เป็นสิทธิ์ที่พวกท่านไม่สมควรได้รับตั้งแต่แรก แต่เป็นสิทธิ์ที่คณะรัฐประหารได้ฉกฉวยจาก ประชาชนและมอบให้กับพวกท่าน การลงมติไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียงนั้น จึงเป็นการไม่เคารพ และไม่ให้ความสำคัญ ต่อเสียงของประชาชนผู้ครองอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ซึ่งเป็นอำนาจที่ถูกแปรผลเป็นเสียงในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น สภาผู้แทนนิสิต นักศึกษา ทั้ง 29 มหาวิทยาลัย จึงขอให้ว่าที่สมาชิกผู้แทนราษฎรทุกท่าน ที่ได้รับเลือกโดยประชาชน และสมาชิกวุฒิสภา ตระหนักว่า "สิ่งเดียวที่พวกท่านผู้ทรงคุณวุฒิสามารถทำได้เพื่อคงไว้ซึ่งเกียรติและ ศักดิ์ศรีของตัวท่านเอง คือ การเคารพเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรและลงมติตามนั้น มิใช่การยืนหยัด เพื่อผลประโยชน์และใช้ดุลพินิจของตนในการตัดสินใจเสมือนว่าตนเองคู่ควรแก่การได้รับอภิสิทธิ์เหนือประชาชน"
หากท่านยังคงยึดมั่นในการตัดสินใจ ยึดถือความคิดของตนเหนือกว่าเสียงของประชาชน และไม่ให้ เกียรติเสียงของประชาชน สภาผู้แทนนิสิต และนักศึกษา ก็พร้อมที่จะยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ของนิสิต และนักศึกษา ในสถาบัน และเจตนารมณ์ของประชาชนทุกคน เพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งหลักการประชาธิปไตย อันมีประชาชนเป็นผู้ครอบครอง อำนาจอธิปไตยเป็นสําคัญ