นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่เชื่อว่าพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาล 310 เสียงได้ ส่วนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรียังต้องรอดูความชัดเจนอีกรอบ สิ่งที่กังวลคือ หากในช่วงเดือน ส.ค.–ก.ย.66 ยังไม่ได้ตัวนายกรัฐมนตรีจะทำให้เกิดสุญญากาศ และจะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2567 และ อาจส่งผลกระทบไปถึงการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ ปี 2568 ที่ตามช่วงเวลาจะต้องมีการอนุมัติงบในต้นปี 2567 โดย ส.อ.ท.อยากให้มีการตั้งรัฐบาลได้ตามไทม์ไลน์โดยเร็ว เพราะยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกมากมาย ทั้งในปี 2567 และ 2568 อย่าทะเลาะกันเลย ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ทาง ส.อ.ท.ซึ่งเป็นกลางทางการเมืองพร้อมทำงานด้วย เพราะต้องการเห็นประเทศชาติเดินหน้าต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้มีข้อกังวลต่อต่อนโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย เรื่องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยกลไกการปรับขึ้นค่าแรง ต้องผ่านที่ประชุมคณะกรรมการไตรภาคี ตามกฏหมายแรงงานคือ ลูกจ้างนายจ้าง และรัฐบาล จึงอยากให้ว่าที่รัฐบาลใหม่ ทั้งพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยมานั่งคุยกันว่าจะขึ้นค่าแรงอย่างไรที่จะควบคู่ไปกับการดูแลค่าครองชีพประชาชนไปพร้อมๆกัน เพราะที่ผ่านมา เมื่อมีการประกาศปรับขึ้นค่าแรง บรรดาสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆจะพาเหรดปรับขึ้นราคาไปรอแล้ว  

โดย ส.อ.ท.เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรง แต่ควรมีการพิจารณาปรับขึ้นตามทักษะความชำนาญของแรงงาน และต้องพิจารณาว่าหากปรับขึ้นค่าแรง ผลประโยชน์ที่แท้จริงจะตกอยู่กับประเทศที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด เพราะต้องเข้าใจว่าปัจจุบันแรงงานครึ่งหนึ่งในประเทศไทยเป็นแรงงานต่างด้าว และยังต้องคำนึงถึงศักยภาพในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วย

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า 310 เสียงในการตั้งรัฐบาล เป็นกลไกที่เหมาะสมในหลักการประชาธิปไตย  เพราะจะมีเสียงฝ่ายค้านประมาณ 200 เสียงในการถ่วงดุล แต่เงื่อนไขในการเลือกนายกรัฐมนตรี ถ้ามองในแง่บวก เชื่อว่า ส.ว.จะเห็นด้วย เนื่องจากผลการเลือกตั้งเป็นฉันทามติ ทั้งในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ และจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ประกาศยุบสภาจนมีการประกาศเลือกตั้ง ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมดีขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าถึงความคาดหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้  

ขณะที่นโยบายขึ้นค่าแรงต้องมองภาคสังคมคือ ปากท้องของประชาชน ไปพร้อมๆกับภาคเศรษฐกิจ คือความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ไม่ได้ปฏิเสธนโยบายประชานิยม แต่ขอให้เป็นประชานิยมที่จะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ระหว่างภาคเศรษฐกิจ ภาคสังคม และภาครัฐ โดยต้องเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างแท้จริง