บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารและเครื่องปรุงรสชั้นนำ เผยผลงานไตรมาส 1/66 ทำรายได้จากการขาย 508 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ 28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% โชว์ทำ EBITDA 108.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% ฟากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงโตเด่น ทำรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 485.2% หลังเปิดโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง รองรับต้องการของลูกค้า พร้อมประกาศแนวทางการดำเนินธุรกิจผ่าน 3 นโยบายหลัก ได้แก่ รุกเสริมความแข็งแรงให้ธุรกิจอาหารหลัก, ปกป้องอนาคตของเราด้วยอาหารจากโปรตีนพืช และสร้างสรรค์คุณค่าและเสริมสร้างความเชี่ยวชาญของบริษัทผ่านธุรกิจแบบ omni-channel ล่าสุดประกาศเข้าซื้อ No Evil Foods แบรนด์อาหารโปรตีนจากพืชชื่อดังในสหรัฐฯ คาดรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง 

นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทานและเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 508 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้ลูกค้าของบริษัทฯ มีสินค้าคงเหลือสูงกว่าปกติเป็นผลให้รายได้จากการขายในผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช รวมถึงรายได้จากธุรกิจ E-commerce ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 ถึงจุดต่ำสุดแล้วและคาดว่าจะฟื้นตัวได้หลังจากนี้เป็นต้นไป  

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง NRF สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 485.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า หลังจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีอัตราการใช้กำลังการผลิตกว่า 80% ส่งผลให้บริษัท Botany Petcare จำกัด มีความสามารถในการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง บริษัทฯ ได้มีการขยายไปยังตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงต่างประเทศหลายแห่ง อาทิ ประเทศออสเตรเลีย อินเดีย ซาอุดิอาราเบีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และรัสเซีย ประกอบกับสามารถขายอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของบริษัทเองได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกันนี้ ยังได้เริ่มเตรียมแผนขยายกําลังการผลิตเพิ่มเติมอีก 2 ไลน์เพื่อตอบสองความต้องการและตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  

ส่วนกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ทำได้ 28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้ทางการเงินและรายได้อื่นเพิ่มขึ้น รวมถึงมีการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ลดลงหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ทำได้ 4.8% เพิ่มขึ้น 0.8% และ EBITDA อยู่ที่ 108.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความสำเร็จในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับมีรายได้อื่นที่เพิ่มเข้ามาอีกทางหนึ่ง 

“บริษัทเชื่อว่าผลการดำเนินงานใน Q1/66 ถึงจุดต่ำสุดแล้วและคาดว่าจะฟื้นตัวได้ใน Q2/66 เป็นต้นไป หลังเห็นสัญญานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ จึงเตรียมกลับมาปล่อยเครดิตให้กับลูกค้า ประกอบกับได้เร่งเดินหน้าทำกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขาย และการทําตลาดในกลุ่มอาหารท้องถิ่น อาทิ การออกงานแสดงสินค้า การสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ (brand awareness) การบริหารจัดการการผลิตของกลุ่มโปรตีนทางเลือกในประเทศไทยหรือ การต่อยอดและขยายกําลังการผลิตจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเห็นได้ผ่านทางรายได้และกําไรสุทธิใน Q2/66 ที่เติบโตขึ้นอย่างแน่นอน” นายแดน กล่าว 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าวว่า ในปี 2566 บริษัทฯ ได้วางแนวทางการดำเนินธุรกิจผ่าน 3 นโยบายหลัก ได้แก่  1) เสริมความแข็งแรงให้ธุรกิจอาหารหลัก (Ethnic food และ Pet food) มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ สำหรับ Ethnic food รวมถึงเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าอาหารสัตว์อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาในอนาคต  

2) ปกป้องอนาคตของเราด้วยอาหารจากโปรตีนพืช (Plant-based food) โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอาหารจากโปรตีนพืช รวมถึงสนันสนุนการแก้ปัญหาโลกร้อนโดยเน้นการใช้วีธีแบบ nature-based เช่น การปลูกต้นไม้  

3) สร้างสรรค์คุณค่าและเสริมสร้างความเชี่ยวชาญของบริษัทผ่านธุรกิจแบบ omni-channel โดยพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจแบบ omni-channel ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค โดยบริษัทฯ มีแผนการลงทุนและพัฒนาธุรกิจร้านค้าของคนเอเชียในประเทศอังกฤษ ให้มีความทันสมัย มีสินค้าที่ดีและหลากหลาย ร่วมกับการบริหารเพื่อขยายสู่แพลตฟอร์มที่ขายสินค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อสนับสนุนสินค้าเกษตรยั่งยืน อีกทั้งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯ โดยมีแผนเปิดร้านค้าของบริษัทเองภายใต้ชื่อ “Bamboo” ในอนาคต 

โดยล่าสุด คณะกรรมการบริหารอนุมัติให้เข้าซื้อแบรนด์ No Evil Foods แบรนด์อาหารโปรตีนจากพืชชื่อดังในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับเงินระดมทุนจากสถาบันการเงินกว่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐ และสามารถทำรายได้ถึง 5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยมีผู้ติดตามกว่า 100,000 คนบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งบริษัทฯ จะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 80% ผ่านทางบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NRF โดยการลงทุนในครั้งนี้ นับเป็นการโอกาสสำคัญที่จะช่วยเสริมกลยุทธ์ในการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้แก่ (1.) สามารถนำผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ No Evil Foods มาผลิตที่ประเทศไทย (2.) สามารถนำผลิตภัณฑ์ของ NRF บางส่วนไปขายภายใต้แบรนด์ No Evil Foods (3.) ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายอาหารโปรตีนจากพืชให้กับบริษัทฯ เนื่องจากแบรนด์ No Evil Foods มีช่องทางการจัดจำหน่ายทั่วประเทศสหรัฐฯ และ (4.) สามารถใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญจากทีมผู้บริหารแบรนด์ No Evil Foods มาพัฒนาและต่อยอดการทำการตลาดและแบรนด์ดิ้งให้กับบริษัทฯ เนื่องจากทีมผู้บริหารNo Evil Foods มีประสบการณ์ในการปั้นแบรนด์จากมูลค่า 11 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปสู่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจากกลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยเสริมแกร่งด้านผลการดำเนินงานให้แก่บริษัทฯ อีกทางหนึ่ง โดยปัจจุบันได้ดำเนินการเซ็นข้อเสนอเพื่อการลงทุน (Term Sheet) เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป โดยบริษัทฯ พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้จากธุรกิจดังกล่าวในปีนี้กว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ 

นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญเรื่องการบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ที่ได้ดำเนินการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กรของ NRF สำนักงานใหญ่และบริษัท ซิตี้ฟูด จำกัด ซึ่งได้ผ่านการทวนสอบความถูกต้องจากหน่วยงานภายนอกและทำการชดเชยด้วยคาร์บอนเครดิตเพื่อขอรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในรอบการประชุมพิจารณาขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ครั้งที่ 3/2566 วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 เพื่อมุ่งสู่การเป็น Carbon Neutral Organization เป็นปีที่ 4 และปีที่ 2 ติดต่อกันตามลำดับ 

ขณะที่ด้านสังคม NRF ได้บริจาคอาหารให้ผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มผู้เปราะบางผ่านมูลนิธิ สโคลาร์ ออฟ ซัสทิเนนท์ และอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานของบริษัทฯ เพื่อส่งต่อให้กับผู้พิทักษ์ป่าในเขตอุทยานทั่วประเทศ รวมถึงบริจาคข้าวสารให้กับมูลนิธิ โกรว์โฮม ที่ดูแลผู้ยากไร้จำนวนมาก โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 141,998 มื้อ และช่วยเหลือผู้คนกลุ่มเปราะบางรวมแล้วกว่า 71,551 ราย อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยไม่ปิดกั้นโอกาสในการแสดงความสามารถการทำงานของบุคลากรในองค์กร ซึ่งในปี 2565 มีอัตราส่วนการจ้างงานของเพศชายต่อเพศหญิงอยู่ที่ 1:1.57 รวมถึงมีการจ้างงานผู้พิการหรือผู้ทุพพลภาพอีกด้วย