วันที่ 16 พ.ค.66 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้มายื่นหนังสือต่อกกต.ขอให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เข้าข่ายพ้นจากสมาชิกพรรคและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 24 หรือไม่ และจะมีความผิดตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 112 วรรคหนึ่งหรือไม่ สืบเนื่องจากกรณีการถือครองหุ้นสื่อ บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) โดยระบุว่า การเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลของนายพิธาจะต้องเป็นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 24 ที่ระบุว่า สมาชิกพรรคต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามที่กำหนดในข้อบังคับตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 การถือครองหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชนใดๆ
ขณะที่มาตรา 112 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองระบุว่า คนที่รู้ตัวว่าไม่มีคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิก รวมถึงกรรมการบริหารอื่นของพรรค แต่ยินยอมรับการแต่งตั้งเพื่อดำรงตำแหน่งดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่พรรคการเมือง แต่งตั้งบุคคล ให้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง โดยรู้ว่าคนนั้นไม่มีคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
ทั้งนี้ ในข้อบังคับพรรคก้าวไกล ซึ่งยังใช้บังคับอยู่ในขณะที่นายพิธา แสดงตนเป็นสมาชิกพรรค ในข้อ 12 ระบุว่าสมาชิกต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม คือเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิลงรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาเป็นสมาชิกพรรค ข้อ 21 กำหนดการสิ้นสมาชิกว่า เมื่อขาดคุณสมบัติตามข้อ 11 หรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 12 ส่วนข้อ 37 ได้บอกว่ากรรมการบริหารพรรคจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อพ้นจากสมาชิกภาพ ดังนั้น ข้อบังคับพรรคก้าวไกล ข้อ 12 (6) จึงรวมถึงลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ทุกอนุมาตรา และใน (3) กำหนดว่า คนที่ถือครองหุ้นสื่อใดๆเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ลงสมัคร
นายเรืองไกร กล่าวว่า ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้มีเหตุทำให้ต้องร้องต่อกกต. เพื่อให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่านายพิธาจะเข้าข่ายต้องพ้นจากสมาชิกพรรค และหัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล แต่งตั้ง หรือยินยอมให้นายพิธาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยรู้ หรือควรรู้ ว่านายพิธามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งดังกล่าว จะเข้าข่ายมีคามผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 112 วรรคสองหรือไม่ ขณะที่กรรมการบริหารอื่นของพรรค ที่ร่วมรับรู้หรือสนับสนุนให้นายพิธายังคงเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรค จะเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 หรือ มาตา 86 ด้วยหรือไม่ ส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ของพรรคก้าวไกลทุกคน ที่ยินยอม หรือยอมรับ ให้นายพิธาใช้สถานะของหัวหน้าพรรคลงนามรับรองให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ จะเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ จึงขอให้กกต.ตรวจสอบเพิ่มเติมในเรื่องนี้
นายเรืองไกร กล่าวว่า สาเหตุที่ตนยังไม่กล่าวหาว่า นายพิธาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อกกต. หรือไม่ เนื่องจากไม่มีสถานะตามข้อบังคับของพรรค ซึ่งเป็นประเด็นที่กกต.ต้องวินิจฉัยก่อน ทั้งนี้ การถือหุ้นไอทีวีเดิมเมื่อปี 2549 เป็นชื่อของบิดา ก่อนมาปรากฏเป็นชื่อของนายพิธาเมื่อปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งตนได้รวบรวมหลักฐานเตรียมยื่นต่อกกต.แล้ว โดยพบว่าเลขหุ้นมีการเคลื่อนไหว เนื่องจากยังมีการดำเนินกิจกรรมอยู่ สัดส่วนของผู้ถือหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงไป มา แต่หุ้นของนายพิธายังมีอยู่เท่าเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เมื่อเป็นคำร้องแล้ว ก็ให้พรรคก้าวไกล และนายพิธาไปยื่นแก้ข้อกล่าวหาตามขั้นตอน คนตัดสินคือกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง ณ วันนี้คิดว่าต้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับกรณีการถือหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล รอดหรือไม่รอดขึ้นอยู่กับการต่อสู้คดีของนายพิธา และการตัดสินของศาล
เมื่อถามว่า การมีหุ้นเพียง 4.2 หมื่นกว่าหุ้นนั้น ถือว่าน้อยมาก จะมีผลหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนไม่ได้ดูบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แล้วเอากฎหมายอื่นมาอธิบายประกอบ โยงเอาคำพิพากษาบางอย่างมาเป็นเหตุผลเข้าข้างตัวเอง จึงอยากตั้งคำถามว่า กรณีอดีต ส.ส. 5 คน และเป็นรัฐมนตรี 3 คน ติดคุกเพียง 1 วัน คดียังไม่ถึงที่สุดเลยคือนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนายถาวร เสนเนียม ศาลวินิจฉัยหลุดจากตำแหน่ง เพราะติดคุกเพียง 1 คืน ระหว่างรอประกันตัว ดังนั้น การถือหุ้น หากเข้าเงื่อนไข ศาลจะเป็นคนใช้ดุลพินิจเรื่องนี้ โดยแปลความกฎหมาย ลายลักษณ์อักษร ซึ่งตนไม่สามารถไปก้าวล่วงได้
“การพิจารณา พิพากษาตัดสินคดี ศาลท่านมีหลัก มีวิธีพิจารณา ก็รอผล ซึ่งผมอาจจะผิด คุณพิธาอาจจะรอดก็ได้ ถ้ารอดก็ได้เป็นนายกฯ อาจจะได้เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรีตามที่คุณพิธาคาดหวัง ซึ่งผมก็อยากดูบทบาทการทำหน้าที่ของเขา นโยบายดีๆ ของเขา จะทำอย่างไรเกี่ยวกับงบประมาณ การดูแลงบทุกส่วนราชการ หรืองบเกี่ยวกับเบื้องบนที่เคยติงมา 3-4 ปี ถึงเวลาจะดำเนินการอย่างไร ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่เป็นนายกฯ แต่นายกฯ ต้องสง่างาม โปร่งใสตรวจสอบได้ ขอให้ตรงไปตรงมา แม้ฝันอยากไปเป็นเลขาฯยูเอ็น ก็ขอให้คุณพิธาบอกพี่น้องประชาชนอย่างตรงไปตรงมา” นายเรื่องไกร กล่าว
นายเรืองไกร กล่าวด้วยว่า มีคนทักมาจากสหรัฐอเมริกา ที่นายพิธาระบุว่าจบจากฮาร์วาร์ด นั้นเป็นฮาร์วาร์ดยูนิเวอร์ซิตี้ หรือฮาร์วาร์ดแคเนดี้ ซึ่งอันหนึ่งเป็นมหาวิทยาลัย ส่วนอีกแห่งไม่ใช่เป็นเหมือนสถานศึกษาอะไรสักอย่างซึ่งตนได้รับทราบจากศิษย์เก่ามหาวิทยาฮาร์วาร์ดเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เพราะเขาสงสัย จึงไปค้นในทำเนียบรุ่น จึงอยากทราบว่าข้อเท็จจริงคืออะไร อยากให้พูดข้อเท็จจริง ไม่มีเฟค ทั้งนี้ยืนยันว่าตนไม่ได้มีอคติ และที่ผ่านมาก็เคยให้ความช่วยเหลือนายพิธา รวมของคนในพรรคด้วย ในเรื่องการตรวจสอบงบประมาณต่างๆ