“สยามรัฐ”ยืนหยัดอยู่บนบรรณพิภพ และสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม ด้วยปณิธาน “นิคฺคณฺเห นิคฺคหาร หํปคฺคณฺเหปคฺคหารหํ” แปลว่า “พึงชมคนที่ควรชม พึงข่มคนที่ควรข่ม”…*...
การเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ต้องเคารพสิทธิ เคารพเสียงของประชาชน…*…
ผลการเลือกตั้งออกมาไม่เกินความคาดหมาย “ก้าวไกล” หยุด แลนด์สไลด์ “เพื่อไทย” เอาไว้ได้ เรียกว่า บรรยากาศมาคุ ปกคลุมไปทั้งพรรคเพื่อไทย เพราะได้ ส.ส.ต่ำกว่าเป้ามาก …*…
ที่สำคัญเมืองหลวงของ “ตระกูลชินวัตร” อย่างเชียงใหม่ โดยก้าวไกลตีแตกยับไป 7 เขตจาก 10 เขต และจ.นนทุบรี ที่โดนตีเมืองขึ้นได้ยกทั้งจังหวัด ส่วนกรุงเทพมหานคร พื้นที่แข็งๆ โดนเก็บร่วงไปหมด เหลือรอดกลับมาได้ เพียง 1 เดียว …*…
แต่ช้าก่อน “สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร” คำกล่าวนี้จริงแท้แน่นอน แต่ สำหรับศึกนี้ “สงครามเพิ่งเริ่มต้น” เกมการเลือกตั้งในช่วงของการจับขั้วกันจัดตั้งรัฐบาลนั้น น่าจับตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเวลาว่าจะต้องให้ได้นายกฯภายในเวลาเท่าไหร่ …*…
ที่สำคัญ “ก้าวไกล” ได้ ส.ส. 151 คน ไม่ใช่ 250 คน หรือ 376 คน เพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องพึ่งเสียงของพรรคการเมืองเข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งล่าสุด เที่ยงวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศ “ดีล” จัดตั้งรัฐบาลในขั้วของเสรีนิยม 6 พรรค 309 เสียง ประกอบด้วยพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม โดยบอกว่า ดีลกับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร แล้ว …*…
ทว่า การชิงประกาศดังกล่าว หากไปย้อนดูในทวิตเตอร์ส่วนตัวของ “พิธา” ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงใช้คำว่า “แกนนำ” จัดตั้งรัฐบาล แต่ใช้คำว่า “พรรคสำคัญ”ในการจัดตั้งรัฐบาล…*…
ศรพระราม ปั่นต้นฉบับ ก่อนเพื่อไทยจะแถลงท่าที แต่เชื่อว่า ท่าทีของ “อุ๊งอิ๊ง” ย่อมผ่านการสังเคราะห์ กลั่นกรองมาแล้วจากคนแดนไกล ซึ่งเชื่อว่า การพลิกมาเป็น “พรรคตัวแปร” ของเพื่อไทย อาจทำให้พรรคเพื่อไทยถือแต้มต่อในสถานการณ์ที่เป็นรอง เพราะเรื่องใหญ่ก็คือ ใครจะพา ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน …*…
ส่วนโอกาส “ก้าวไกล” จะยอมเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกฯนั้น น่าจะน้อย เพราะฉะนั้น ถ้าเพื่อไทยจับขั้วกับก้าวไกล เศรษฐา ทวีสิน ที่ประกาศว่า “ต้องตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น” ตำแหน่งอื่นไม่เอา ก็ไปต่อลำบาก กับสูตรนี้ เว้นแต่ว่าจะพลิกขั้ว ไปจับกับพรรคลุง ที่ก็เสี่ยงที่จะถูกด่าทั้งแผ่นดิน…*…
อย่างไรก็ตาม ทั้งก้าวไกล และเพื่อไทย ต่างมีบทเรียนมาแล้ว ในการเลือกตั้งรอบที่แล้ว ที่ถูกอีกฝ่ายรวบรวมเสียงพรรคเล็ก เพราะความ “ยึกยัก” เกี่ยงกันในการดึงเสียงเข้ามาเพิ่มเติม ทำให้เสียงปริ่มน้ำ …*…
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ส.ส.เขตเพียง 20 คน และบัญชีรายชื่ออีกไม่เกิน 3 คน ต่ำกว่า 30 เสียง ทำให้ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โฟกัสต่อไป อยู่ที่ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ที่ประกาศเดิมพันถึงขั้นวางมือการเมือง หากพรรคได้ส.ส.ต่ำกว่า 52 ที่นั่ง ผลออกมาเป็นแบบนี้ “เสี่ยต่อ” คงวางมืออีกคน ประชาธิปัตย์จะเข้าสู่โหมดปรับโครงสร้างอีกครั้ง …*…
ที่มา:ศรพระราม (16/5/66)