ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร อาจารย์ประจำสาขาวิชาการสื่อสารดิจิทัลคอนเทนต์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เผยมุมมองความหวังเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ว่า ขอแสดงความยินดีกับว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการจากทางคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีการประกาศ ซึ่งทำให้พรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลโดยรัฐบาลจะเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วมรัฐบาลอย่างน้อยๆ 3 พรรคการเมือง ทำให้แนวนโยบายของรัฐบาลจะต้องมีส่วนประกอบจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยแต่ละพรรคจะต้องนำมาหลอมรวมเป็นนโยบายของรัฐบาลหลักอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในส่วนนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะแต่ละพรรคก็จะพยายามชูนโยบายของตนเอง ผลักดันให้เป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่ เช่น พรรคเพื่อไทยจะมีการชูนโยบายที่ได้มีการประกาศในการหาเสียงนำมาเป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่ เป็นต้น
มามองดูเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) เผยแพร่รายงาน "World Economic Situation and Prospects 2023" หรือ "สถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจโลก 2023" ประกาศการเติบโตของเศรษฐกิจโลก 1.9% ในปี 2566 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง นโยบายการคลังที่เข้มงวดของประเทศต่าง ๆ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลก "World Economic Outlook" คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปี 2566 จะเติบโต 2.9% ทำให้เห็นว่าในปี 2566 สภาวะเศรษฐกิจโลกมีการเติบโตไม่สูงมาก แต่ในส่วนของประเทศไทยได้รับแรงบวกจากการเปิดประเทศของจีนช่วยหนุนการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะเป็นตัวช่วยในเรื่องของเศรษฐกิจ สอดรับกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย ด้านการท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางด้านการแพทย์และสุขภาพมุ่งทำให้ประเทศไทยเป็น "Wellness Destination" ของเอเชีย การเป็น "Festival Hub of Asia" โดยการสร้างเทศกาลไทยให้ไปถึงระดับโลก และการพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Regional transport hub ทั้งในด้านผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทางอากาศ จัดตารางการบินให้มีประสิทธิภาพเชื่อมต่อสายการบินเพื่อให้สายการบินจากทั่วโลกมาต่อเครื่องที่ไทย
ดังนั้นหากมาวิเคราะห์นโยบายของ "พรรคเพื่อไทย" ด้านเศรษฐกิจที่มีการหาเสียงในครั้งนี้คือ การเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ GDP เติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำปีละ 5% ทุกครอบครัวมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 จบปริญญาตรีเอกชน ข้าราชการ เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 บาท เกษตรกรรายได้ 30,000 บาท ต่อไร่ ต่อปี และให้มีการพักหนี้เกษตรกร ทั้งต้นและดอก 3 ปี สร้างเขตธุรกิจใหม่ 4 แห่งเป็นพื้นที่นำร่อง ได้แก่ กรุงเทพ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่
และนโยบายของ "พรรคก้าวไกล" ด้านเศรษฐกิจที่มีการหาเสียงในครั้งนี้คือ การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต มียุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยการเติบโตที่เป็นธรรม (inclusive growth) คือ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต แต่ขณะเดียวกัน ดอกผลของการพัฒนาต้องถูกกระจายอย่างเป็นธรรม โดยมี 3 เรื่องหลักที่ต้องดำเนินการ คือ การสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้มั่นคง (firm ground) การสร้างกลไกภาครัฐและกติกาการแข่งขันที่เป็นธรรม (fair game) และการผลักดันเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวใหม่ๆ ที่เติบโตไปพร้อมกับซัพพลายเชนโลก (fast forward growth) มุ่งเน้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่จะนำไปสู่ซอฟต์เพาเวอร์ได้ สามารถทำให้เศรษฐกิจด้านอื่นๆ เพิ่มมูลค่าได้ การมุ่งเน้นเรื่องเทคโนโลยี เน้นอุตสาหกรรมในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และการเน้นเรื่องของสวัสดิการ ให้ของขวัญแรกเกิดถึง 6 ขวบ คนละ 3,000 บาท ใช้งบประมาณ 2,100 ล้านบาท ให้เงินเลี้ยงดูเด็กเล็กคนละ 1,200 บาทต่อเดือน และให้แม่ลาคลอดได้ 6 เดือน โดยได้เงินช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคม 5,000 บาทต่อเดือน ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชย ได้ค่าเดินทางหาหมอ ด้านเด็กได้เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับส่ง ค่าแรงขั้นต่ำจะปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท ผู้สูงวัยได้เงินเดือนละ 3,000 บาท คนพิการได้เดือนละ 3,000 บาท โครงการบ้านตั้งตัว โดยรัฐช่วยค่าเช่าบ้าน 1,000 บาทต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้ 15,000 บาท และต้องการซื้อบ้านในราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท รัฐจะช่วยผ่อนบ้านให้ 2,500 บาทต่อเดือน
ดังนั้นนโยบายของทั้ง พรรคเพื่อไทย และ พรรคก้าวไกล ที่คาดว่าเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า สิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนคือการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศด้วยนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการ และการเพิ่มรายได้ ที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ต้องระวังในส่วนของอัตราเงินเฟ้อที่จะเพิ่มสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจนทำให้ภาคธุรกิจจะมีการชะลอตัว การไม่แน่นอนของราคาพลังงานที่ยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือประชาชนรอคอยการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจอยากเห็นมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วด้วยเช่นกัน