‘ไทยศรีวิไลย์’ ขึ้นรถแห่ช่วย 'มาดามอ้อ - อุ๋มอิ๋ม' หาเสียงช่วง 100 เมตรสุดท้าย พร้อมประกาศขอเสียงคนไทยช่วยกันแสดงพลัง เลือก ‘ไทยศรีวิไลย์’ ย้ำถ้าเลือกแล้ว ‘เสียงของท่าน จะดังในสภา’ อย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ พร้อมด้วย พล.ท.อัศวิน รัชฎานนท์ รองหัวหน้าพรรคฯ นายวิวัฒน์ เจริญพาณิชย์ศิริ รองหัวหน้าพรรค ฯ นายอนวรรช ศรีคำเงิน กรรมการบริหารพรรคฯ นายสรกฤช จันทรคณา โฆษกพรรคฯ นางสาวณัฐปภัสร์ วรธันย์ผาสุข รองโฆษกพรรค ฯ นางสาวเยาวเรศน์ ชินภักดี รองโฆษกพรรคฯ และคณะ ได้ขึ้นรถแห่เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับ นางสาวพัทธนันท์ ฤทธิ์ชัยเรืองเดช หรือ มาดามอ้อ ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร เขต 7 ( เขตบางซื่อ และเขตดุสิต เฉพาะแขวงถนนนครไชยศรี) หมายเลข 11 และนางสาวกฤษยากร สรชัย ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร เขต 1 (เขตพระนคร, เขตสัมพันธวงศ์, เขตบางรัก, เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเขตดุสิต ยกเว้นแขวงถนนนครไชยศรี) หมายเลข 12 หาเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งที่จะขึ้นในวันพรุ่งนี้ (14 พฤษภาคม)
โดยนายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนมาขอเสียงสนับสนุนกับชาวดุสิตทั้ง 2 เขตเลือกตั้ง เพราะไม่อยากให้การพัฒนาภายในเขตมีความลักลั่นกันระหว่างแขวงถนนนครไชยศรีกับแขวงอื่นๆ ภายในเขตดุสิต อันเนื่องมาจากได้ ส.ส.คนละพรรค ดังนั้น จึงขอโอกาสกับประชาชนชาวดุสิตฝั่งแขวงถนนนครไชยศรีให้เลือก น.ส.พัทธนันท์ หรือมาดามอ้อ เบอร์ 11 ส่วนแขวงอื่นๆ ให้เลือก น.ส.กฤษยากร หรือ อุ๋มอิ๋ม หมายเลข 12 เพื่อให้การพัฒนาเขตดุสิต เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้เข้าสู่ทางตรง 100 เมตรสุดท้าย ก่อนที่จะให้ประชาชนตัดสินใจในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเท่าที่ตนประเมินตั้งแต่เข้าสู่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา กระแสของพรรคฯ ก็ดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้ง การที่ตนประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนในช่วงโค้งสุดท้ายว่า ‘ไม่เอาลุง ไม่แก้ ม.112’ กลายเป็นว่า พรรคไทยศรีวิไลย์จะเป็นพรรคหลักของแนวคิดนี้ทันที เพราะตนเชื่อว่า ประชาชนหลายๆคนน่าจะทนไม่ไหวกับการบริหารงานมาตลอด 8 ปี ที่ทำให้คนไทย ‘จนแล้ว จนอยู่ จนต่อ’ และไม่สามารถจะกู้เงินเพื่อช่วยเหลือประชาชนอะไรได้ จนทำให้พรรคไทยศรีวิไลย์ต้องออกนโยบายเพื่อนำเงินที่สกปรกและรั่วไหลจากระบบเศรษฐกิจ มาทำให้เป็นเงินสะอาดที่นำมาพัฒนาประเทศ ในขณะเดียวกัน ประชาชนส่วนนี้ก็ต้องการปกป้องสถาบันฯ โดยไม่ต้องการให้ใครมาจาบจ้วงล่วงละเมิด โดยเห็นว่า มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาที่บังคับใช้ในปัจจุบัน มีความเหมาะสมและสามารถควบคุมสังคมไม่ให้เกิดความวุ่นวายได้ เพราะฉะนั้น ตนเชื่อว่า ประชาชนส่วนนี้ยังมีอยู่อีกไม่น้อย น่าจะมากกว่า 1 ล้านคนขึ้นไป จึงต้องขอให้กลุ่มคนเหล่านี้และประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาเลือกพรรคไทยศรีวิไลย์ ซึ่งจะทำให้อย่างน้อยๆ แนวคิดที่ตนเสนอจะกลายเป็นแนวคิดที่จะสามารถกำหนดได้ว่า พรรคใดจะสามารถเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคไทยศรีวิไลย์ได้
นายมงคลกิตติ์ กล่าวด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคไทยศรีวิไลย์มีความพร้อมมากกว่าครั้งที่แล้ว ซึ่งนอกจากตัวผู้สมัครที่สามารถคัดเลือกสมาชิกพรรคที่มีศักยภาพและในหลายๆเขตที่พรรคส่งผู้สมัครก็มีกระแสดีมีสิทธิ์ที่จะชนะแล้ว นโยบาย 41 ข้อของพรรคที่ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน โดยมีความมุ่งหวังที่จะดูแลประชาชนตามหลักของรัฐสวัสดิการ เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มอาสาสมัคร กลุ่มทหารผ่านศึก มีเงินสำหรับดูแลครัวเรือนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยนโยบายอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ 1.5 แสนบาท เข้าตรงสู่ 22 ล้านครัวเรือน การสร้างสังคมไทยเป็นสังคมสงบสุข ปราศจากความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส เช่น การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้มีความยุติธรรมจริงๆ การคืนลูกหลานและคนที่รักคืนสู่อ้อมอกของครอบครัว โดยมาตรการปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาดแบบดุดันไม่เกรงใจใคร การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด การดำเนินการเรียนฟรีแบบฟรีจริงๆ ในระดับตั้งแต่อนุบาลถึงอาชีวศึกษา เป็นต้น รวมทั้ง จากผลงานการทำงานในสภาผู้แทนราษฎรตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จึงมั่นใจได้ว่า ถ้าประชาชนเลือกพรรคไทยศรีวิไลย์ ‘เสียงของท่าน จะดังในสภา’ อย่างแน่นอน
"การเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ ผมอยากให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 52 ล้านกว่าคน มาใช้สิทธิ์ใช้เสียงกันให้มากที่สุด มากันให้เยอะๆ แสดงพลังกันในฐานะผู้รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะคนที่ตั้งใจไม่ไปใช้สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ราวร้อยละ 30 - 40 นั้น ผมขอให้ออกมาแสดงพลังว่า ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จะเปลี่ยนระบอบไปเลยไหม ตามแนวคิดของคนรุ่นใหม่บางคน หรือจะคงไว้ซึ่งสิ่งที่สืบทอดกันมา 800 ปี เพราะผมเชื่อว่า คนไทยแทบจะทั้งหมด ยังคงต้องการให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งจุดยืนของพรรคไทยศรีวิไลน์ก็ชัดเจนว่า ไม่แก้ไข ไม่ยกเลิก ไม่เหมือนกับ บางพรรค ที่ขณะนี้ยังคงกำกวมเพียงเพื่อหวังคะแนนเสียงจากทุกฝ่ายเพื่อให้ได้อำนาจมาเท่านั้น " นายมงคลกิตติ์กล่าว