นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย แถลงข่าวร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สถาบันอาหาร และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้สรุปภาวะอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2565 พบว่า มีมูลค่าการส่งออกรวม 1 ล้าน 4 แสนล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 23% ตามความต้องอาหารของโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งมีการปรับปรุงขอบเขตสินค้าอาหาร จากเดิมใช้ 24 กลุ่ม เพิ่มเป็น 25 กลุ่มสินค้า เพิ่มกากและเศษที่เหลือจากอุตสาหกรรมผลิต อาหารอาหารสัตว์ และอาหารสัตว์เลี้ยงเข้ามาใหม่ ทำให้มูลค่าการส่งออกอาหารของไทยเพิ่มขึ้นจากเดิม 8% โดยประมาณ ขณะที่มูลค่าการค้าอาหารโลกในปี 2565 อยู่ที่ 1,867 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 7.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งไทย อยู่ในอันดับ 15 ของประเทศผู้ส่งออกอาหารของโลก จากอันดับ 11 ในปี 2562

โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกอาหารไทย นำรายได้เข้าประเทศแล้วกว่า 346,000 ล้านบาท ขยายตัว 10% สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำตาลทราย ข้าว ไก่ และผลไม้สด ดังนั้นในปี 2566 จะใช้ขอบข่ายสินค้า 25 กลุ่ม ซึ่งได้คาดการณ์มูลค่าการส่งออกของไทย จะทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ อยู่ที่ 1 ล้าน 5 แสนล้านบาท (หรือ 1.5 ล้านล้านบาท ) ขยายตัว 2.1% ตามนโยบายฟื้นฟูและการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 ปัญหาการขาดแคนอาหาร ทำให้มีความต้องการอาหารเพิ่มสูงขึ้น แต่ละประเทศต้องการสำรองแต่ละประเทศต้องการสำรองอาหารเพิ่ม ขณะที่อาหารไทยยังมีคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัย แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน ความผันผวนจากค่าเงิน รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อที่ยังกดดันกำลังซื้อ และผลิตผลสินค้าเกษตร ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญ เช่น สับปะรดโรงงาน และหัวมันสำปะหลัง  มีปริมาณลดลงและราคาปรับตัวสูงขึ้น

โดยภาคเอกชน มีข้อเสนอรัฐบาลใหม่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทย แม้ปริมาณและมูลค่าการส่งออก รวมถึงราคาส่งออกต่อหน่วย จะขยายตัวมาตลอดในรอบ 10 ปี แต่โครงสร้างอุตสาหกรรมอาหารยังพึ่งพาเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ ดังนั้นควรสนับสนุนเกษตรรายย่อย เน้นการรวมกันผลิตและจำหน่าย สร้างระบบการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืนภายใต้ BCG โมเดล และสนับสนุนการยกระดับสู่อาหารอนาคต เพื่อให้ไทยเป็นประเทศอยู่กลุ่มรายได้สูงด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และที่สำคัญไทยยังมีอีกปัญหาสำคัญคือขาดแคลนวัตถุดิบในการแปรรูปอาหาร ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องสนับสนุนการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตส่งออกอย่างเดียวโดยไม่กระทบกับตลาดในประเทศ

นายเจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ฝากถึงรัฐบาลใหม่ในเรื่องต้นทุนพลังงาน จากค่าไฟฟ้า เพราะหลายอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาไฟฟ้า เช่น อาหารแช่เยือกแข็ง และผักผลไม้สด ดังนั้นควรคิดโครงสร้างราคาให้สอดคล้องต้นทุนจริง เพราะขณะนี้ราคาก๊าซปรับลดลงแล้วแต่ค่าไฟฟ้ายังไม่ลดลงตาม รวมทั้งการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า เพราะอุตสาหกรรมอาหาร เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเกี่ยวข้องกับคนในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรรวมกว่า 40 ล้านคน เป็นต้น