เป็นการลงพื้นที่ดูงานครั้งแรกของ “นายจุฬา สุขมานพ” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี คนใหม่ หลังจากได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการไม่กี่เดือนโดยครั้งนี้ได้เดินทางไป ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลัก (EEC Project list) ซึ่งเป็นการร่วมทุนรัฐและเอกชน (PPP) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3
ทั้งนี้ “นายจุฬา สุขมานพ” เลขาธิการอีอีซี ให้สัมภาษณ์พิศษกับ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ว่า “โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก” โดยงานในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของภาครัฐ กองทัพเรือ (ทร.) คือการก่อสร้างรันเวย์ เส้นที่ 2 อยู่ระหว่างการเตรียมออกประกาศเชิญชวนผู้รับจ้างงานก่อสร้าง คาดว่าจะออกประกาศเชิญชวนได้ในเดือน พ.ค. 2566 นี้ และอยู่ระหว่างส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้กับ บริษัท อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) คาดว่าจะส่งมอบในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 หรือในต้นปี 2567
และภาคเอกชน เป็นการร่วมลงทุนพัฒนาอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 เมืองการบิน (Airport City) คลังสินค้า (Cargo) ลานจอดอากาศยาน ถนนและสาธารณูปโภคภายในโครงการ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสนามบิน ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับปรุงแผนแม่บทให้เหมาะสมกับสถานการณ์ธุรกิจการบิน และการออกแบบรายละเอียดต่างๆ แต่ละโครงการ ด้านความก้าวหน้าที่สำคัญ UTA ได้จัดทำรั้วมาตรฐานเขตการบินเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้างทันทีหลังได้รับแจ้งให้เริ่มการก่อสร้าง (Notice to Proceed : NTP) จาก สกพอ. โดย UTA คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2567 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี และมีการทดสอบระบบ การให้บริการและการบริหารจราจรทางอากาศ คาดเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2570
“การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาไม่ใช่แค่มีสนามบิน แต่จะมีทั้งเมืองการบิน ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยอีอีซีมองว่าสนามบินจะเป็นเหมือนประตูนำพาให้ผู้คน นักลงทุนเข้ามาในพื้นที่อีอีซี สะดวก การให้ลงทุน PPP สนามบินและเมืองการบิน รวมไปถึงรถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ จะมีส่วนสนับสนุนพื้นที่อีอีซี ทั้งหมด”
นายจุฬา กล่าวว่า สำหรับ “โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3” วงเงินรวม 55,400 ล้านบาท มีแหล่งเงินทุน ได้แก่ ฝั่งนิคมอุตสาหกรรมมูลค่า 12,900 ล้านบาท จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน งานหลักเป็นการขุดลอกและถมทะเล และฝั่งภาคเอกชนลงทุนท่าเทียบเรือก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งการก่อสร้างมีความคืบหน้าแล้วกว่า 43.72% เร็วกว่าแผนประมาณ 0.01% โดยคาดว่าโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดฯ จะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการท่าเรือก๊าซ (ส่วนที่ 1) ภายในปี 2570 เพื่อสร้างความมั่นใจการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานหลักในอีอีซี ประกาศความพร้อมจูงใจนักลงทุนอุตสาหกรรมนวัตกรรมขั้นสูง ตามกรอบเศรษฐกิจ BCG กระตุ้นให้เกิดเงินลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศใน 5 ปี (2566-2570) ปีละ 400,000 ล้านบาท เศรษฐกิจไทยเติบโต 4.5-5% ได้ต่อเนื่อง
ซึ่งงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปัจจุบัน ได้แก่ การก่อสร้างเขื่อนกันทราย การลงหินแกนแล้วเสร็จ 100% และอยู่ระหว่างปรับขนาดเสริมหินเกราะชั้นนอก ติดตั้งเขื่อนกันคลื่นทะเล (Breakwater) ถมทรายเพื่อก่อสร้างถนน สะพานเข้า-ออกโครงการ รวมทั้งเตรียมงานอู่ลอยสำหรับหล่อเขื่อนกันคลื่นสำเร็จรูป (Caisson) ในส่วนของงานขุดลอกและปรับพื้นที่ทางทะเล ได้ติดตั้งม่านกันตะกอนตามที่ระบุในรายงาน EHIA เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งโครงการฯ ได้สร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชนต่อเนื่อง มีการจัดตั้งคณะกรรมการติดตามควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมในงานก่อสร้าง ที่ภาคประชาชนเข้าร่วมเป็นกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด จำนวน 3 คณะ และได้จัดประชุมร่วมกันไปแล้วกว่า 30 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม เช่น วัดคุณภาพอากาศ เสียง ความสั่นสะเทือน วัดคุณภาพน้ำทะเล คุณภาพน้ำทิ้ง ซึ่งได้รายงานต่อกรมเจ้าท่า และสำนักงาน สผ. ทุก 6 เดือน ปัจจุบันดำเนินการแล้ว 3 ครั้ง เป็นต้น
“โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดฯ ถือเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอีอีซี เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในเขตนิคมฯ มาบตาพุด มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ รองรับการลงทุนในอีอีซี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและสินค้าเหลวสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 19 ล้านตันต่อปี รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมเหล็กครบวงจร และในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สร้างการลงทุนในพื้นที่ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน และประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้น”
ด้าน “พลเรือโท สมประสงค์ วิศลดิลกพันธ์” ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือพิเศษ กองทัพเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือรับผิดชอบงาน 2 ส่วนคือ ก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ 2 และทางขับ (แท็กซี่เวย์) มีกรอบวงเงิน 17,768 ล้านบาท โดยมีการอนุมัติงบเพื่อดำเนินการถมดินปรับพื้นที่จำนวน 1,274.24 ล้านบาทแล้ว ปัจจุบันดำเนินการใกล้แล้วเสร็จ ส่วนงานก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 2 และทางขับ กรอบวงเงิน 16,493.76 ล้านบาทนั้น มีการปรับเปลี่ยนแหล่งเงินจากงบประมาณเป็นเงินกู้จากธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank) หรือ AIIB ซึ่งแหล่งเงินมีเงื่อนไขในการจัดทำทีโออาร์ การออกประกาศ จึงต้องมีการเจรจาตกลงกัน เช่น คุณสมบัติและผลงานการก่อสร้างสนามบินย้อนหลัง 5 ปี ของผู้ยื่นข้อเสนอ ซึ่งเงื่อนไขเดิมผู้รับเหมาไทยไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้เลย ใช้เวลา 4 เดือนจึงได้ข้อยุติ เป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้มากที่สุด ทำให้มีความล่าช้า
โดยตามแผนการประกวดราคา วันที่ 15 มี.ค. 2566 ได้เผยแพร่ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง (General Procurement Notice), เดือน พ.ค. 2566 ประกาศทีโออาร์ประกวดราคา, เดือน พ.ย. 2566 ประกาศผลการจัดซื้อจัดจ้าง และเดือน ธ.ค. 2566 ลงนามสัญญากับผู้ได้รับการคัดเลือกและเริ่มก่อสร้างต้นปี 2567 โดยตั้งเป้าก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2570
ต้องติดตามกันต่อไป กับผลงานของเลขาธิการอีอีซี ที่ชื่อ “จุฬา สุขมานพ” พื้นที่ลงทุนมหาศาล และครบวงจรในการพัฒนา จะสร้างรายได้ให้กับประเทศได้มากน้อยแค่ไหน!?!